เดิมทีคนดอยเต่าจะอาศัยอยู่เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มลุ่มน้ำแม่หาดซึ่งจะอยู่บนพื้นที่ราบสูงริมน้ำแม่หาด ได้แก่ บ้านดอยเต่าเก่า บ้านไร่ โปงทุ่ง อีกกลุ่มหนึ่งจะมีมากกว่ากลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่แถบที่ราบลุ่มแม่ปิง ได้แก่ บ้านแม่กา บ้านชั่ง ท่าเดื่อ บ้านน้อย จนถึงบ้านแอ่น มีหมู่บ้านทั้งเล็กและใหญ่รวมกันถึง 21 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ 54 ตารางกิโลเมตร ประกอบอาชีพเพาะปลูกข้าว ถั่ว ยาสูบ ครั่ง และค้าขาย โดยนำสินค้าใส่เรือแพล่องไปขายทางตอนล่างแถบเมืองตากและปากน้ำโพ
…
มาเมื่อปี พ.ศ. 2495 เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชุมชน อ.ดอยเต่า เมื่อรัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศสร้างเขื่อนยันฮี (เขื่อนภูมิพล) โดยกั้นแม่น้ำปิงตรงบริเวณช่องเขายันฮี อ.สามเงา จ.ตาก แต่เมื่อเขื่อนสร้างเสร็จ น้ำได้เอ่อขึ้นมาท่วมพื้นที่ราบสองฝั่งแม่น้ำปิง ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจึงต้องอพยพขึ้นมาอยู่ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองฯ ของเขื่อนภูมิพลที่ดำเนินการโดยกรมประชาสงเคราะห์
…
แต่เพราะเขื่อนภูมิพลเป็นเขื่อนแห่งแรกของประเทศ ทำให้ภาครัฐไม่ได้ออกแบบวิธีการจัดการที่มีแบบแผน ทำให้การจัดการด้านสาธารณูปโภคให้กับผู้อพยพเป็นไปอย่างขลุกขลัก หลายหมู่บ้านไม่มีน้ำกินน้ำใช้ รัฐทำได้เพียงนำเครื่องอุปโภคบริโภคมาแจกกันเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ทำให้คนในชุมชนหลายหมู่บ้านตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เช่น บ้านหนองบัวคำเดิมได้อพยพไปอยู่ อ.ลี้ จ.ลำพูน เป็นต้น
…
ดังเรื่องราวของคนเรือหาสมบัติบันทึกในช่วงนั้นว่า…“เห็นหีบธรรมลอยน้ำเป็นร้อยเป็นพันก็สังเวช” ชาวหมู่ผู้คนพากันหนีตายพลัดหายไปจากถิ่น นางแม่เรือนและแม่อุ้ยอันเคยได้รังสรรค์ผ้านุ่งครัวใบทั้งมวลก็ละทิ้งกี่แลหูกทอไว้ใต้น้ำ ขนาดสิ่งที่จะใช้ยังชีพอย่างหม้อชามรามไหยังละขว้าง ไปหาเอาทางหน้า นับประสาอะไรกับเครื่องนุ่งพันกายไม่ตายก็หาใหม่ หอบมาแต่ผ้าซิ่นไม่กี่ผืนอันที่ได้เคยทอเมื่อตอนอยู่ม่วนกินหวาน หวังจะเอาไว้นุ่งไปเฝ้าพระแก้วเจ้าจุฬามณีเมืองฟ้าเมื่อยามละสังขารสิ่งทั้งมวลจึงปล่อยให้น้ำอันสร้างไฟฟ้ามากลบหายอยู่ใต้ธรณีนทีใหญ่กว้างนั้น แล…”
…
“ผ้าทอตีนจก” ของคนดอยเต่าจึงกลายเป็นของมีค่าดุจดังทองคำที่ผู้อพยพสามารถหยิบฉวยในช่วงเวลาของการย้ายถิ่น ในขณะที่ของหลายชิ้นไม่สามารถนำติดตัวมาได้ ต้องปล่อยให้จมหายไปกับการเอ่อท้นของน้ำในเขื่อน
…
“ผ้าซิ่นตีนจกลายหนีน้ำท่วม” หรือ “ซิ่นน้ำถ้วม” ตามภาษาอักขระล้านนา จะเป็นซิ่นไทยยวนของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทะเลสาบดอยเต่าของ จ.เชียงใหม่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ มีสีสันสดใส มีลวดลายมากถึง 500 – 600 ลาย ผ้าซิ่นมีองค์ประกอบสามส่วนคือส่วนที่เป็นตีนจก ตัวซิ่น และหัวซิ่น
…
นักภูษิตาภรณ์พิลาสหลายท่านสรุปว่า ซิ่นน้ำถ้วมแบบเก่ามักจะทอลายห่าง เป็นแบบอย่างของตีนจกโบราณของทุกพื้นที่ก่อนที่จะเพิ่มลายเพิ่มฝ้ายให้หนาขึ้นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ซิ่นน้ำถ้วมไม่ใช้ดิ้นเงินดิ้นทองวาววับอย่างของชาวหอคำหลวง เพียงแต่แซมดิ้นและซอนไหมในบางส่วนของลวดลายเท่านั้น จึงงามอย่างพอดีๆ
…
คุณฐาปณี ไหวยะ ตัวแทนลูกหลานคนดอยเต่า ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สนใจเรื่องผ้าซิ่นของคนดอยเต่ามาตั้งแต่แรก เพราะเห็นอยู่ในชุมชนจนเป็นเรื่องปกติ แต่พอมีโอกาสมาศึกษาต่อในเขตตัวเมืองเชียงใหม่ ทำให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วผ้าซิ่นลายน้ำท่วมเป็นของมีค่าที่กำลังจะสูญหายไปตามกาลเวลา จึงเริ่มศึกษา ฝึกทอผ้าจากพ่อครูแม่ครู และสืบหาผ้าซิ่นดอยเต่าที่อาจเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายที่เหลือให้คนรุ่นหลังได้สืบสานและบอกเล่าอัตลักษณ์ของคนดอยเต่ามาแกะลวดลายและทำการทอผ้า ซึ่งต้องทำให้เหมือนลายดั้งเดิมมากที่สุด โดยเฉพาะเน้นสีแดงดำที่บ่งบอกอัตลักษณ์ความเป็นผ้าซิ่นน้ำถ้วมดอยเต่า
….
เมื่อคุณฐาปณีกลับมายังชุมชนก็อยากอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมเอาไว้ จึงประสานการทำงานร่วมกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน อ.ดอยเต่า ช่วยกันรื้อฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นการทอผ้าซิ่นน้ำถ้วม ด้วยการจัดตั้งและเปิดเป็น “พิพิธภัณฑ์ผ้าถาวรและศูนย์เรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นตำบลดอยเต่าด้านหัตถกรรม (ผ้าซิ่นตีนจกน้ำท่วมดอยเต่า)” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาของชุมชนและผู้สนใจ เป็นแหล่งศูนย์ฝึกอาชีพกับคนในชุมชนสามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้ พร้อมทั้งต้องการให้เยาวชนดอยเต่ามีจิตสำนึกรักบ้านเกิดสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์สวยงามเฉพาะตัวอีกด้วย
…
นอกจากนั้นยังใช้ “สภาองค์กรชุมชนตำบลดอยเต่า” เป็นเวทีกลางในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น การจัดเวทีนำเสนอโครงการผ้าซิ่นตีนจกเพื่อขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจในชุมชน การประสานหน่วยงานต่างๆ ในท้องถิ่นให้ประชาสัมพันธ์เพื่อขยายตลาดผ้าซิ่นให้กว้างไกล ทำให้เริ่มมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและหนุนเสริมการพัฒนา และยกระดับให้เกิดการต่อยอดงานการพัฒนามากขึ้น
…
ในแง่ของความเปลี่ยนแปลงภายหลังที่มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ นั้น คุณฐาปนีมองว่ามีการเปลี่ยนแปลง 2 ระดับแรกคือ เริ่มเห็นคนในชุมชนและคนรุ่นใหม่มุ่งมั่นที่จะสืบเสาะและสืบทอดผ้าซิ่นตีนจก ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของชุมชนที่ยังเหลือให้คนรุ่นหลังได้สืบสานและการบอกเล่าผ่านลวดลายเรื่องราวบนผืนผ้าซิ่นตีนจกน้ำท่วมดอยเต่า
…
ส่วนความเปลี่ยนแปลงระดับที่ 2 คนในชุมชนและหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ยอมรับการทำงานศูนย์การเรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ สังเกตได้จากการเริ่มมีเยาวชนในหมู่บ้านเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกในศูนย์การเรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ มากขึ้น
…
“อย่างไรก็ดีแม้ว่าการจัดศูนย์เรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ จะเริ่มเห็นเส้นทางความสำเร็จมาได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ยังอยากให้การทอผ้าซิ่นกลายเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้จริงควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจและเห็นความสำคัญของผ้าซิ่นตีนจกน้ำท่วมดอยเต่า ซึ่งในอนาคตจะเป็นส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ หวงแหนภูมิปัญญาของชุมชน และรักษาสืบสานผ้าทอน้ำท่วมดอยเต่าได้อย่างยั่งยืน” คุณฐาปนีกล่าว
…
อ้างอิงบทความ:
เอกสารงานสมัชชาพลเมืองเชียงใหม่ วันที่ 23 กันยายน 2560
ณ ห้องประชุมข้าวหอมมะลิ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
life-is-a-journey-เพราะดอยเต่าไม่ใช่ทา/
อารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดตอนล่าง
อารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดตอนล่าง
กลุ่มหมู่บ้านที่สำคัญที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำแม่หาด และอยู่นานกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วทุกหมู่บ้าน คือกลุ่มหมู่บ้านหลวงดอยเต่า บ้านหลวงดอยเต่า เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุด ที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่หาด แต่บอกไม่ได้ว่าโยกย้ายมาจากไหน อยู่บริเวณนี้นานกี่ปี พ่ออุ้ยกาบ ปันจินะ อายุ ๙๖ ปี เป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านหลวงดอยเต่า บอกว่า พอจำความได้ ก็เห็นว่าบ้านดอยเต่ามีเป็นร้อยครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันได้แยกสาขาเป็นหมู่บ้านต่าง ๆ อยู่ในละแวกนี้ ถึง ๔ หมู่บ้าน คือ บ้านสันป่าดำ(บ้านที่พ่ออุ้ยกาบอยู่) บ้านสันต้นเปา บ้านปากทางดอยเต่า บ้านฉีมพลี ถ้านับจำนวนครัวเรือนมารวมกันแล้วน่าจะมากกว่าพันครัวเรือน แสดงถึงว่าบ้านหลวงดอยเต่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุการตั้งหมู่บ้านนานกว่าบ้านอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ร่องรอยอารยธรรมก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านอื่น ๆ เท่าไหร่นัก
จากหลักฐานใบลาน ประวัติของบ้านตาล ได้กล่าวถึงอาณาเขตของบ้านตาลและได้กล่าวถึงคนจาวดอยเต่าว่า “ขุนตูสั่งไว้สันนี้ แดนตี๊แต้ ตะกล้าไร่หลวง แผวนาร้องเรียว แผวปวกก้อน หนองอึ่ง ลงสุดตุบ ขึ้นแม่หาดเป๋นแดน แผวห้วยบ่อขุมเงิน ขึ้นห้วยบ่อขุมเงิน แผวดอยกั้ง แผวห้วยสารปี แผวเด่นข้าวตาก ขึ้นดอยผากอง ซื่อตามสัน โก้ดตามสัน น้ำไปตางวันออกเป๋นตี๊เมืองลี้ น้ำไหลไปตางวันตกตี๊บ้านตาล ไต่สันไปแผวม่อนพระเจ้า ลงสันม่อนพระเจ้าแผวแม่ลี้ฝ่ายใต้ สูบแม่ละงอง ล่องตามแม่ลี้ฝ่ายวันออกจุเมืองลี้มีสันนี้แล อัน ๑ เล้า ตี้ดอยป่าหมาก ซื่อตามสัน โก้ดตามสัน แผวแป๋ตัดม่อนเส้า ลงผาตั้งลงแม่หาด แผวร้องปูขึ้นนั้น จาวดอยเต่าจ๋นด้วยอันหาตี้เยี๊ยะตี้กิ๋นบ่ได้ จึ่งเอาเงิน ๕ เหล่มเจียงมาขอแก้กลาหัวไร่หางนากิ๋น แจ๋นตู่ข้าอยู่จิ๋มกันนี้ปอขอหื้อกินเต๊อะ ยามนั้นขุนบ้านตาลเปื้อนว่าบ่ดี ป๋ายหน้าลูกหลานสูเจ้าจั๊กว่า ตี้ตูซื้อขาดแล้ว จั๊กว่าอันตูบ่ขายแล ป๋ายหน้าลูกหลานตูไปง่าย หากตักรวงดั้นจร เอาน้ำตี้หลังดินตูคืนเสีย สูเจ้าจั๊กจูบ่จู กั๋นจูตูก็จั๊กเอาเงินสูไว้จา ป๋ายหน้ากั๋นสูบ่อยู่ตามสัจจะวาจานั้น ตูจั๊กขื๋น ๕ เหล่มเจียงหื้อสูเสีย ตี้นี้เป๋นตี้ตูดังเก่า มีกำปฏิญานกันไว้สันนี้แล้ว จาวดอยเต่าจิ่งว่าไปหน้า เจ้นลูกหลานตูข้าตังหลาย กันว่าเขาบ่อยู่ ตามกำสัจจะวาจา ตามกำอันนี้ขื๋นเต๊อะว่าอั้นแล้ว ขุนตนจิ่งปล่งหื้อตั้งแต่นั้นมา แลมีกำสันนี้แลฯ”
จากข้อความบันทึกใบลาน เป็นภาษาล้านนา (ตั๋วเมือง) ดังกล่าว บอกให้รู้ว่า คนดอยเต่าโยกย้ายมาอยู่บริเวณนี้ใหม่ ไม่มีที่ทำกิน จึงขอซื้อที่ดินของคนบ้านตาล ซึ่งมีทุ่งนาในบริเวณนี้มาก่อน คนบ้านตาลไม่ขายให้ แต่จะให้ทำกิน ถ้าวันข้างหน้าไม่อยู่ที่นี่ต่อ คนบ้านตาลจะคืนเงินให้ ๕ เหล่มเจียง น่าเสียดายที่ข้อความที่บันทึกไว้ไม่ได้บอกวันเดือนปีที่คนดอยเต่าโยกย้ายมาอยู่ และโยกย้ายมาจากไหน แต่ได้โยกย้ายมาใหม่ ๆ ไม่มีที่ทำกิน และไม่แน่ใจว่าจะอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าคนดอยเต่าไม่อยู่ คนบ้านตาลจะคืนเงินให้ จนถึงเดี๋ยวนี้คนดอยเต่าคงไม่ได้เงิน ๕ เหล่มเจียงคืน เพราะคนดอยเต่าได้ตั้งหลักปักฐาน สร้างบ้านสร้างเรือนขยับขยายแตกสาขาออกเป็นหลายหมู่บ้าน และได้สร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดบ้านหลวงดอยเต่า
วัดบ้านหลวงดอยเต่าเดิมอยู่บนฝั่งแม่น้ำแม่หาด แต่ถูกน้ำท่วมจึงย้ายมาอยู่ที่วัดหลวงดอยเต่าปัจจุบัน ซึ่งเดิมเป็นวัดร้างของชนเผ่าลัวะ มีหลักฐานสำคัญคือประตูโขงเก่า ๆ เชื่อว่ามีอายุก่อนยุคกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณนี้เคยขุดพบพระไม้ปางมารวิชัย และยังมีกำแพงวัด มีซากอิฐปรักหักพัง บริเวณวัดอยู่ติดกับดงหอพ่อเฒ่าหนาน (ศาลผีเสื้อบ้าน หรือผีประจำหมู่บ้าน)
นอกจากบริเวณวัดหลวงดอยเต่าจะเป็นร่องรอยอารยธรรมของคนลัวะตามที่พ่ออุ้ยกาบเล่าให้ฟังแล้ว ในบริเวณนี้ ยังมีวัดแยงเงา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแม่ตูบ(เป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำแม่หาด) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านฉีมพลีประมาณ ๕๐๐ เมตร (สันนิษฐานว่า เงาของพระธาตุ หรือวิหารอะไรสักอย่างที่เกิดเป็นเงาอยู่ในน้ำ จึงได้ชื่อว่าวัดแยงเงา คำว่า แยง หมายถึง ดู แยงเงา น่าจะหมายถึง ดูเงาตนเองในน้ำแม่ตูบ) เวลานี้ไม่เหลือแม้แต่เงา เหลือแต่ซากก้อนอิฐเก่า ๆ บ้างพอรู้ว่าเป็นวัดเท่านั้นเอง
วัดนาโฮ้งเก้า เป็นอีกวัดหนึ่งที่พ่ออุ้ยกาบเล่าให้ฟัง เป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้านอุ้ยกาบ วัดแห่งนี้น่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่วัดเดียวที่พอจะเห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่ให้เห็น ลูกของพ่ออุ้ยกาบ อายุ ๖๐ กว่า ปี เล่าว่า สมัยเป็นเด็ก ยังเคยเห็นพระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่ในวัดร้าง ซึ่งเวลานั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาทึบกลายเป็นดงย่อม ๆ แล้ว ถามว่า เดี๋ยวนี้ พระพุทธรูปที่ว่าหายไปไหน อุ้ยกาบเล่าว่า ครูบาขาวปี๋(นักบุญแห่งล้านนาที่คนดอยเต่าให้การเคารพนับถือ) เคยเอาไปครั้งหนึ่งแต่เอามาคืนไว้ที่เดิม หลังจากนั้นหมวดหมาน หรือหมวดสมาน เจ้าหน้าที่ตำรวจโรงพักแม่กาเอาไปแต่ไม่ได้เอามาคืน ไม่มีใครที่จะทักท้วงขอคืน เนื่องจากคิดว่าไม่ใช่มรดกตกทอดของบรรพบุรุษ เป็นของคนลัวะ ซึ่งคนบ้านเราไม่กล้าที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก เพราะกลัวผีวัดร้างทำร้าย อุ้ยกาบ บอกว่า วัดห่างโฮ้งเก้า อยู่บริเวณที่ราบลุ่มใกล้ทุ่งนา ส่วนที่ตั้งของวัดม่อนจอมธรรมปัจจุบัน จะเป็นร่องรอยซากปรักหักพังพระธาตุของวัดโฮ้งเก้าซึ่งอยู่บนม่อนดอยใกล้ๆ นั่นเอง
อารยธรรมบ้านไร่
ห่างจากบ้านหลวงดอยเต่า ล่องตามสายน้ำแม่หาดไม่เกิน ๓ กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งบ้านไร่ หมู่ ๒ ต. ดอยเต่า อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ไม่แพ้บ้านหลวงดอยเต่า จากการสอบถามแม่อุ้ยพา เปี้ยพริ้ง อายุ ๘๐ ปี แม่อุ้ยพาเล่าให้ฟังว่า บ้านไร่เกิดจากการที่มีคนย้ายถิ่นที่อยู่เพื่อมาทำไร่ จึงได้ชื่อว่าบ้านไร่ คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า คนบ้านไร่ได้โยกย้ายมาจาก อ.แม่พริก จ. ลำปาง แรกเริ่มมีคนมาทำไร่อยู่เพียง ๓ ครอบครัว คือ ๑.ครอบครัวแม่เฒ่าฟองแก้ว ๒.ครอบครัวแม่เฒ่าเป็ง ๓. ครอบครัวแม่เฒ่างา
เดิมบ้านไร่มีวัดอยู่บริเวณตลาดนัดวันศุกร์ติดลำห้วยแม่หาด สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒ จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ภายในวัดเก่ามีโฮง(กุฏีสงฆ์)หลังใหญ่ มีวิหาร แต่ไม่มีเจดีย์หรือพระธาตุ มีเจ้าอาวาสชื่อครูบาเผือก เนื่องจากวัดคับแคบและติดกับฝั่งแม่น้ำแม่หาด ถูกน้ำกัดเซาะจึงย้ายมาอยู่ที่วัดบ้านไร่ปัจจุบัน ลุงหนานใจ๋ โด้คำ อาจารย์วัดบ้านไร่ เล่าว่า บริเวณของวัดปัจจุบันก็มีก้อนอิฐสมัยเก่า คล้ายกู่ของคนโบราณหลงเหลืออยู่ให้เห็น แสดงว่าวัดบ้านไร่ได้ย้ายมาสร้างทับที่เก่าของคนโบราณที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับวัดหลวงดอยเต่า
วัดบ้านไร่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านไร่จนทำให้วัดวาอารามมีพระอุโบสถ พระวิหาร กุฏี พระธาตุเจดีย์ที่สูงตระหง่านให้เห็นในปัจจุบันนับเป็นเวลาถึง ๙๓ ปี
ถามถึงร่องรอยอารยธรรมที่เก่าแก่ในบริเวณบ้านไร่แล้ว ได้คำตอบว่า ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน จะมีหนองน้ำ มีพื้นที่ประมาณ ๓ ไร่ ชาวบ้านเรียกว่าหนองย่าลัวะ ด้านทิศเหนือของหมู่บ้านชาวบ้านไร่เรียกชื่อว่าดงผึ้ง (บริเวณสวนลำไยลุงน้อยหนิ้ว)จะมีซากอิฐปรักหักพังเป็นจำนวนมาก มีร่องรอยทางเดินปูด้วยหิน มีแนวกำแพงวัด พระวิหาร ชาวบ้านเรียกว่า วัดจอมแจ้งกำแปงงาม(พ่อครูทวี ยงสุวรรณวงศ์ ให้ข้อมูล) พ่อหนานใจ๋ โด้คำ (พ่ออาจารย์วัดบ้านไร่)สันนิษฐานว่าเป็นวัดของชนเผ่าลัวะ
นอกจากดงผึ้งยังมีวัดห่างจ้างคำ เป็นวัดร้างอยู่ด้านทิศตะวันออกของบ้านไร่ ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีร่องรอยของวัดร้าง บ้านร้าง มีอิฐขนาดก้อนใหญ่ ๆ มีต้นผลหมากรากไม้ เช่น มะม่วง ขนุน มีร่องรอยของการขุดหาของเก่า มีร่องรอยของหมู่บ้านบริเวณรอบ ๆ วัดห่างจ้างคำ เช่น เด่นตูบ โล๊ะตีนแป เหล่าป่ากล้วย วังบ่าบ้า โดยเฉพาะบริเวณเด่นตูบ เป็นบริเวณที่มีคนเคยขุดพบพระสิงห์หนึ่ง บริเวณอื่น ๆ ไม่ทราบว่าได้อะไรไปบ้าง มีแต่ร่องรอยการขุดเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่วบริเวณ
ห่างจากบ้านไร่ไปตามลำน้ำแม่หาด ผ่านวัดร้างจอมแจ้งกำแปงงามไปไม่ไกลนัก จะมีร่องรอยบ้านร้างของหมู่บ้านเด่นคา ซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับบ้านไร่ ได้กลายเป็นบ้านร้างเมืองร้างเมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่ผ่านมา เดิมบ้านเด่นคามีอยู่ ๓ กลุ่ม คือบ้านเด่นคาเหนือ บ้านเด่นคากลาง และบ้านเด่นคาใต้ ทั้ง ๓ กลุ่มหมู่บ้าน เคยเป็นหมู่บ้านที่เจริญ มีวัดวาอาราม แต่ปัจจุบันทิ้งเป็นบ้านร้างวัดร้าง แยกย้ายกันไปอยู่คนละที่คนละทาง เนื่องจากไม่สามารถขยายบ้านได้ เพราะอยู่ระหว่างแม่น้ำแม่หาดกับทุ่งนา อีกเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะน้ำแม่หาดเปลี่ยนทิศ ทำให้ฝั่งแม่น้ำพังทลายเข้าสู่หมู่บ้าน เท่าที่สืบทราบจากคนเฒ่าคนแก่บ้านไร่บอกว่า บ้านเด่นคาเหนือย้ายมาอยู่บ้านไร่ บ้านเด่นคากลางย้ายไปอยู่บ้านสันติสุข ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของลำห้วยแม่หาด อยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๓ กิโลเมตร บ้านเด่นคาใต้ย้ายไปอยู่บ้านถิ่นสำราญ อยู่ทางทิศเหนือของบ้านเดิมประมาณ ๑ กิโลเมตร ปัจจุบันนี้ทั้งบ้านถิ่นสำราญและบ้านสันติสุขเป็นหมู่บ้านขนาดกลางได้มีประชากรที่ย้ายจากการอพยพหนีน้ำท่วมขึ้นมาอยู่สมทบ จึงทำให้เป็นหมู่บ้านที่มีหลากหลายสำเนียงอย่างเห็นได้ชัด
ตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาด
ตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาด
น้ำแม่หาด เป็นแม่น้ำขนาดเล็ก มีน้ำไหลตลอดปี ขุนน้ำอยู่ในเขตตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไหลจากยอดเขาผ่านตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ตำบลโปงทุ่ง ตำบลดอยเต่า อำเภอดอยเต่า ไหลลงสู่น้ำแม่ปิงในเขตตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ รวมเป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ กิโลเมตร
น้ำแม่หาดเป็นเสมือนสายเลือดของคนดอยเต่า โดยเฉพาะดอยเต่าด้านทิศใต้ พื้นที่ตำบลโปงทุ่ง ตำบลดอยเต่า ได้ใช้น้ำแม่หาดหล่อเลี้ยงชีวิตมาโดยตลอด ไม่ว่าจะใช้บริโภคอุปโภค ใช้ในการเกษตร ทำนาปลูกข้าว ทำสวนลำไยสวนหอม สร้างรายได้ให้กับคนดอยเต่านับเป็นเงินหลายสิบล้านบาทต่อปี และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งกุ้งหอยปูปลา ให้คนดอยเต่าจับกินเป็นอาหารตลอดทั้งปี
นอกจากน้ำแม่หาดจะเป็นสายน้ำที่เปรียบเสมือนสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนดอยเต่าแล้ว ยังเป็นแหล่งอารยะธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของภาคเหนือ เนื่องจากมีร่องรอยการถลุงเหล็ก และซากปรักหักพังสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ โดยเฉพาะซากปรักหักพังของวัดวาอารามของคนยุคก่อน ๆ ตั้งอยู่เรียงรายไปตามสายน้ำ เริ่มแต่ขุนน้ำแม่หาดจนถึงปากแม่น้ำแม่หาดบริเวณลุ่มน้ำแม่ปิงเลยทีเดียว
อารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดตอนบน
พ่อหลวงตัน อดีตผู้ใหญ่บ้านผาต้าย หมู่ ๑ ตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านอายุ ๗๘ ปี ได้เล่าถึงความเป็นมาของหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำแม่หาดตอนบน ซึ่งมีบ้านผาต้ายหมู่ที่ ๖ บ้านผาต้าย หมู่ ๑ บ้านหนองมะล้อ บ้านห้วยทรายขาว บ้านแม่ลาน บ้านแม่ก๋องวะ รวมถึงบ้านกองวะ ล้วนเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่ทั้งสิ้น อายุของแต่ละหมู่บ้านน่าจะไม่ถึง ๑๐๐ ปี บ้านผาต้ายหมู่ ๖ เป็นหมู่บ้านแรก ๆ ที่มาตั้งรกรากบริเวณลุ่มน้ำแม่หาดแห่งนี้ เดิมมาอาศัยอยู่เพียงสามหลังคา เพื่อมาเป็นคนงานส่งอาหารให้ฝรั่งสองพี่น้องซึ่งมาสัมปทานไม้สักบริเวณนี้ พ่อหลวงตันเล่าว่า บริเวณนี้เป็นดงป่าไม้สักที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้สักบางต้นห้าคนโอบไม่จอด คนงานที่มารับจ้างขนไม้ซุงด้วยล้อ จะขนไม้ซุงล่องไปตามน้ำแม่หาดไปส่งที่แม่น้ำปิง จากนั้นฝรั่งเขาจะทำแพไม้ซุงปล่อยลงน้ำ ให้ไหลลงตามน้ำปิง จนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ออกสู่อ่าวไทย ตามลำดับ
การขนย้ายไม้ซุงในสมัยนั้นจึงเป็นที่ไปที่มาของบ้านหนองมะล้อ คือ เดิมเขาเรียกว่า หนองพักล้อ คนงานขนไม้ซุงไปพักล้อ พักวัว บริเวณหนองน้ำ จึงเรียกว่า หนองพักล้อ แต่ปัจจุบันเพี้ยนเป็นหนองมะล้อ จริง ๆ แล้วเวลานั้นมีบ้านผาต้ายหมู่ที่ ๖ เพียงหมู่บ้านเดียว บ้านอื่น ๆ ยังไม่มี บริเวณแถบนี้มีแต่ดงไม้สัก หลังจากฝรั่งตัดไม้ไป ผืนที่ป่ากลายเป็นที่โล่งเตียน เหมาะกับการเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ทำนาทำไร่ ผู้คนจากตำบลลี้ บ้านป่าหกน้อย บ้านป่าหกหลวง บ้านม่วงคำ บ้านม่วงสามปี๋ จากอำเภอเถินจังหวัดลำปาง ได้ย้ายมาจับจองที่ทำมาหากินพัฒนาเป็นหมู่บ้าน เช่น บ้านหนองมะล้อ บ้านห้วยทรายขาว บ้านแม่ลาน อายุการตั้งหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านคงไม่เกิน ๖๐ ปี ส่วนบ้านผาต้ายหมู่ ๑ เป็นหมู่บ้านที่ขยับขยายจากบ้านผาต้ายหมู่ ๖ อายุคงไม่เกิน ๖๐ ปีเช่นกัน
บ้านแม่ก๋องวะหมู่บ้านเดียวที่โยกย้ายหนีน้ำท่วมจากบริเวณลุ่มน้ำปิง ในปี ๒๕๐๗ คนในหมู่บ้านย้ายมาจากหลายหมู่บ้าน เช่น บ้านโท้ง บ้านหนองบัวคำ บ้านท่าครั่ง บ้านชั่ง บ้านท่าเดื่อ ได้เข้ามาอยู่สมทบกับคนอำเภอลี้ที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อนแล้ว อายุการตั้งหมู่บ้านก็คงไม่เกิน ๖๐ ปีเช่นกัน ถัดจากบ้านแม่ก๋องวะลงมาตามแม่น้ำแม่หาด จะเป็นบ้านกองวะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ บ้านกองวะเดิมเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ภายหลังมีคนพื้นเมืองย้ายมาอยู่สมทบ เท่าที่ทราบก็ยังถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านสร้างใหม่เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่สร้างใหม่ อายุไม่เกิน ๖๐ ปี บ้านผาต้ายหมู่ ๖ อายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี แต่ทุกหมู่บ้านดังกล่าว สามารถเล่าถึงอารยธรรมเก่าแก่ให้ฟังทุกหมู่บ้าน เช่น บ้านผาต้ายหมู่ ๖ จะอยู่ใกล้กับขุนแม่หาดมากที่สุด จะมีวัดรอยบ่าตะ หนองจอกหรือรอยพระพุทธบาทหนองจอก ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านผาต้ายทั้งสองหมู่บ้านให้การสักการะบูชาทุกปี
มีถ้ำเก่าแก่ ชื่อว่าถ้ำอิด ปากถ้ำจะมีอ่างน้ำลึกมากและมีน้ำอยู่เต็มตลอดทั้งปีไม่เคยแห้ง เหมือนกับว่าเป็นอ่างน้ำเป็นสิ่งกรีดขวางป้องกันไม่ให้คนข้างนอกเข้าในถ้ำได้โดยง่าย (คนโบราณเรียกว่ายนต์น้ำ เป็นการป้องกันสิ่งของด้วยเวทมนต์คาถา ไม่ให้คนเอาสิ่งของมีค่าที่อยู่ในถ้ำได้ง่าย) ถ้าใครจะเข้าในถ้ำต้องสร้างแพข้าม ถ้าหากคิดไม่ดี พูดไม่ดี พูดคำหยาบคาย น้ำจะเอ่อท่วมปากถ้ำไม่ให้คนเข้าไปได้ บางครั้งในวันเพ็ญวันพระจะมีเสียงฆ้องเสียงกลองดังออกจากปากถ้ำเป็นประจำ
ด้านทิศตะวันออกของบ้านผาต้ายหมู่ ๑ จะมีรอยพระพุทธบาทผาผึ้ง และได้สร้างวัดพระพุทธบาทผาผึ้งเป็นวัดประจำหมู่บ้านใกล้ ๆ กับบ้านหนองมะล้อ จะมีซากกู่เก่าแก่ตั้งอยู่กลางทุ่ง มีร่องรอยขุดหาของเก่า
สถานที่นี้ลุงอุด ปันโปทา คนบ้านหนองมะล้อ อายุ ๘๒ ปี
เล่าว่าบางครั้งจะได้ยินเสียงฆ้องเสียงกลองในวันศีลวันพระจากบริเวณนี้ คุณลุงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนโบราณชนเผ่าลั๊วะ ชาวบ้านหนองมะล้อไม่กล้าที่จะมายุ่งเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากกลัวผีทำร้าย
ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านหนองมะล้อจะมีถ้ำน้ำดิบขี้หม่า ในถ้ำจะมีร่องรอยคนอาศัยอยู่ มีซากแกลบและมองตำข้าวและเชื่อว่าเป็นคนลั๊วะหนีศึกสงครามไปหลบซ่อนในถ้ำแห่งนี้ แล้วถูกฆ่าตายภายในถ้ำ คุณลุงยังเล่าว่า คุณลุงมีสวนอยู่บริเวณนั้น ครั้งหนึ่งคุณลุงนอนหลับในตอนกลางวันได้ฝันเห็นผู้หญิงสาวสามคนออกจากถ้ำมาลูบคลำ ไม่นานมีทหารสูงใหญ่สวมหมวกเหล็กออกมาตาม ในฝันเหมือนถูกผีอำ ดิ้นไม่ได้ ร้องก็ไม่ออก ลุงตกใจตื่นด้วยความหวาดกลัว ลุงได้แต่เก็บความฝันไว้เพียงคนเดียวไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อ ลุงอุดยังบอกว่า บนเขาลูกนั้นนอกจากจะมีถ้ำแล้ว ยังมีแร่เหล็ก และแร่คล้ายแก้วใส ๆ มีคนจะมาขอทำสัมปทานชาวบ้านไม่ยอมให้ที่หมู่บ้านห้วยทรายขาวมีหลักฐานสำคัญมาก สามารถบ่งบอกได้ว่ามีคนมาอาศัยอยู่บริเวณนี้มานาน ก่อนที่คนห้วยทรายขาวจะเข้ามาอยู่ เนื่องจากในเขตบริเวณบ้านเลขที่ ๔๗ หมู่ ๗ มีเตาถลุงเหล็กโบราณ (เตาสะกัดหรือแยกเหล็กออกจากก้อนหิน)
อารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดตอนกลาง
ห่างจากบ้านกองวะ ลงมาตามน้ำแม่หาดเป็นระยะทาง ๙ กิโลเมตร จะเป็นกลุ่มหมู่บ้านอีกกลุ่มหนึ่ง อยู่ในเขตการปกครอง ตำบลโปงทุ่ง อำเภอดอยเต่า จะมีบ้านโปงทุ่ง บ้านโปง (บ้านโปงท่า) บ้านหนองเหม็น บ้านงิ้วสูง บ้านสันบ่อเย็น บ้านเกาะหลวง กลุ่มหมู่บ้านนี้จะมีคนอยู่ ๒ เผ่า คือหมู่บ้านที่เป็นคนพื้นเมือง(คนไต) และชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง(คนยาง) มีบ้านโปงทุ่ง บ้านโปง บ้านสันบ่อเย็น เป็นหมู่บ้านคนพื้นเมืองเป็นหมู่บ้านสร้างใหม่ภายหลังน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗
เพราะคนในหมู่บ้านส่วนมากได้อพยพหนีน้ำท่วมจากบ้านท่าครั่ง บ้านชั่ง บ้านแอ่น บ้านหาดหยวก บ้านหนองบัวคำ อายุการสร้างหมู่บ้านคงไม่เกิน ๖๐ ปี ส่วนบ้านเกาะหลวง บ้านหนองเหม็น บ้านงิ้วสูง บ้านดอยเป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง โดยเฉพาะบ้านเกาะหลวงจะมาอยู่ก่อนคนพื้นเมือง น่าจะมีอายุการตั้งบ้านเรือนมากกว่า ๖๐ ปี บอกไม่ได้ว่านานแค่ไหน แต่ไม่น่าจะเกิน ๑๒๐ ปี
บริเวณแห่งนี้พอจะมีแหล่งอารยธรรมเก่าแก่อยู่รอบ ๆ หมู่บ้านบ้าง แต่เป็นของคนรุ่นก่อนที่สร้างไว้ เช่น วัดทุ่งป่าตาล วัดทุ่งโขง เวลานี้มีแต่ซากอิฐ มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมรกทึบขาดการดูแลรักษา มีน้อยคนที่จะกล้าเสี่ยงไปขุดค้นของเก่าในวัดร้าง เนื่องจากกลัวผี เพราะคนเก่าคนแก่ในหมู่บ้านเล่าว่า คืนวันเดือนเพ็ญมักจะมีเสียงฆ้องเสียงกลองดังจากวัดร้างเป็นประจำ ทำให้คนส่วนมากขยาดกลัวไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยว คงทิ้งไว้ให้อยู่ตามสภาพของมัน ลุงก่ำ ชาวกะเหรี่ยง อายุ ๘๙ ปี ได้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดวาอารามของคนลัวะ เนื่องจากบริเวณทุ่งนาในย่านนั้นเคยมี โป่ง ที่สัตว์เลี้ยงของพวกชาวบ้านเกาะหลวงไปกินดินโป่งติดโคนดินโป่งตายเป็นประจำ คนเฒ่าคนแก่เรียกโป่งนี้ว่า โป่งลัวะ วัดวาอารามบริเวณนี้ก็น่าจะเป็นของลัวะเช่นกัน
บริเวณวัดบ้านโปงท่า เคยเป็นบริเวณของวัดเก่าแก่ ชาวบ้านเรียกว่าวัดปู่จื๊อ อยู่ติดกับน้ำแม่หาด มีซากเศษก้อนอิฐอยู่ในทุ่งนารอบ ๆ วัด และได้มีการปรับพื้นที่บริเวณวัดร้าง พบพระพุทธรูปโบราณ จำนวนหนึ่ง ขณะนี้ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรเป็นที่เรียบร้อยและเก็บรักษาไว้อย่างดี
นอกจากนี้ยังมีถ้ำเล็ก ๆ อยู่ทางทิศใต้ของบ้านงิ้วสูง ชื่อว่าถ้ำหม้อ มีวัดถ้ำหม้อที่สร้างขึ้นใหม่ อายุคงไม่เกิน ๕๐ ปี ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่หลงเหลือและบ่งบอกว่ามีคนมาอาศัยอยู่บริเวณนี้มาก่อน