ตามรอยเมืองโบราณ “พิสดารนคร” เมืองฮอด

Hotcity_1.jpg

ตามรอยเมืองโบราณ “พิสดารนคร” เมืองฮอด อ้อมกอดแห่งความทรงจำ

เมืองฮอด ในอดีตจากหลักฐานเอกสารสมัยล้านนาหลังยุคราชวงศ์มังราย มีปรากฎในโคลงมังทรารบ เชียงใหม่(พ.ศ.2158) ว่า “เพราะเหตุใดพ่อค้าเรือทางอยุธยามาค้าขายถึงมีตลาดขายของตลอดวัน ทุกวัน ชาวเชียงใหม่พากันมาถึงเมืองหอด(ฮอด) ซื้อขายกันเป็นที่สนุกสนาน ผู้คนพลุกพล่าน บางคนถึงขั้นเป็นเศรษฐี”

ในสมัยช่วงฟื้นม่าน ตามตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2314 พระญาจ่าบ้าน(บุญมา) ได้บาดหมางกับโป่มะยุง่วน เจ้าเมืองเชียงใหม่ พบเจ้ากาวิละ เพื่อเป็นพันธมิตรขับไล่พม่า เจ้ากรุงอังวะสั่งให้ทัพเมืองเชียงใหม่ไปรบกับธนบุรี พระญาจ่าบ้านอาสาเป็นกองหน้า นายทัพพม่าให้คุมกำลังม่าน 70 และไต 50 นาย เมื่อมาถึงเมืองฮอด ก็ได้ฆ่าฟันพม่าจนหมดสิ้น และได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อขอกำลังช่วยขับไล่พม่า

จากหลักฐานเอกสารในยุคสมัยช่วงต้นราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน เมื่อปี พ.ศ.2330 ม่านแข้งอุเมงคีโป่ นำพล 16,000 จากอังวะเข้าเมืองยวม เจ้าพุทธวงศ์คุมไพร่พล 150 ออกลาดตระเวน ปะทะทัพหน้าของพม่า จึงขอความช่วยเหลือจากเจ้ากาวิละ เจ้ากาวิละมอบให้เจ้าอุปราชและเจ้ารัตนะหัวเมืองแก้ว เป็นแม่ทัพ ยกพลไปตีทัพหน้าของพม่าจนแตกพ่าย ไล่รบกันไปจนถึงเมืองฮอด ทัพใหญ่พม่ายั้งทัพอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถูกตีถอยร่นไปเมืองป่าซาง

เมืองฮอดจากหลักฐานเอกสารในช่วง 100 ปีก่อนสร้างเขื่อนภูมิพล “บันทึกเดินทางของ ยอร์ช ยังอัสแบนด์” ปี พ.ศ.2430 ได้กล่าวถึง การเดินทางจากมะละแหม่งด้วยเรือไอน้ำ ขึ้นไปตามแม่น้ำสาละวิน ไปจนถึงหมู่บ้านชเวกุล ข้ามเขา 12 วัน มาลงที่แม่สะเรียง จากนั้นเดินทางข้ามเขาอีก 5 วัน จนมาถึงเมืองฮอด

ในบันทึกได้กล่าวถึงชาวเมืองฮอดในขณะนั้นว่า “ชาวเมืองฮอดนั้นดูดี ผู้หญิงเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน มีน้ำมีนวล หน้าตางดงาม ส่วนผู้ชายก็สุภาพและเป็นมิตร”

จากการขุดค้นทางโบราณคดี ส่วนมากจะโดนลักลอบขุดไปก่อนแล้วเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มีเพียงโบราณสถาน 2 แห่งที่ยังสมบูรณ์โดยยังไม่ถูกผู้ร้ายลักขุดเลย คือ วัดหลวงฮอด กับ วัดเจดีย์สูง ซึ่งเป็นวัดร้างตั้งอยู่หลังที่ว่าการอำเภอ และที่วัดแห่งนี้เองมีประวัติร่ำลือกันในหมู่ชาวบ้านว่า “ผีดุอย่างร้ายกาจ”

ผีที่รักษาวัดนี้ ชื่อ ครูบาแก้ว มักทำอันตรายแก่คนที่เดินผ่านเข้าไปในเขตวัดเสมอ ชาวบ้านอย่าว่าแต่ให้ขึ้นไปบนเจดีย์วัดนี้ แม้แต่ให้เดินเข้าไปภายในกำแพงวัดก็ไม่มีใครยอมเข้า ดังนั้นในวันแรกที่เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ได้เริ่มไปสำรวจขุดค้น ชาวบ้านต่างพากันมาตักเตือนเรื่องผีดุนี้เป็นอันมาก เพราะกลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งกันไว้เสียเปล่าๆ

ปัจจุบันกรมศิลปากรได้มีการขุดค้นโบราณสถานเมืองฮอด อย่างต่อเนื่อง


ข้อมูลจาก: สำนักงานศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่

สามารถติดตามได้ที่เพจ เรื่องราวโบราณสถาน https://www.facebook.com/Archaeology-7-Chiang-Mai-959237684143410

ท่านใดที่สนใจเรื่องราวความเป็นมาประวัติ เมืองโบราณเมืองฮอด สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.matichonweekly.com/column/article_330593

🍰เนินนม nernnom

FB_IMG_1609827793964.jpg
ร้านเนินนม
บริการเมนูเครื่องดื่ม ร้อนเย็น และขนมหวาน ของทานว่าง

มีเมนูเครื่องดื่มร้อน – เย็น ขนมปัง เบเกอรี่ และหม่าล่า Location : ร้านตั้งอยู่ริมทุ่งนา เข้าซอยหมู่บ้านไร่ ซอยตรงข้ามวัดดอยกิ่วแล  เบอร์โทร ติดต่อ 089 853 4551

ตำนานพระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง (เรียบเรียงใหม่)

doikeong_doitao_5-e1609420962423.jpg

ในสมัยหนึ่ง ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาธรรม ณ เชตวันอารามมหาวิหาร ที่พระองค์ประทับอยู่นั้นเป็นทางผ่านของเมืองต่างๆ ขณะนั้นพระศรีธรรมราชา เจ้าเมืองสิบสองปันนา ซึ่งเป็นพระสหายของพญาสีสู่ เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ได้รับเชิญเป็นแขกเมืองสุวรรณภูมิมีการเลี้ยงต้อนรับอย่างสมเกียรติตามประเพณีนิยม ครั้นถึงเวลากลับ พระเจ้าสีสู่ได้เสด็จไปส่งโดยยกรื้อพลทหารประจำพระองค์ไปด้วย เพื่อเป็นเกียรติแก่แขกเมือง ในระหว่างการเดินทางพระเจ้าสีสู่ทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงโปรดสรรพสัตว์ในป่าเขตเชตวันอารามจึงเกิดศรัทธา และได้ตรึกตรองว่าควรเข้าไปเฝ้าพระตถาคตอันเป็นอนัตตา พระองค์จึงตัดสินพระทัยไปเฝ้าพระพุทธองค์ก่อน ครั้นแล้วเมื่อเสด็จถึงและประทับในที่เหมาะสมแล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า

“ดูกรมหาราช ท่านได้มากราบเราตถาคตแล้วท่านจักเดินทางไปยังเมืองของท่านหรือจักเดินทางไปยังเมืองอื่นที่ไหนกันมหาราช”

พญาสีสู่จึงทูลตอบคำถามพระพุทธองค์ว่าจะเดินทางไปเยี่ยมส่งพระสหายนามว่า พระศรีธรรมราชา เจ้าเมืองสิบสองปันนา ทราบว่าพระพุทธองค์ประทับ ณ ที่นี้ หากเดินทางผ่านไปก่อนก็จะไม่มีโอกาสได้เฝ้านมัสการพระองค์ ดังนั้น จึงมากราบนมัสการพระพุทธองค์ก่อนเดินทางต่อไป ความทราบดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงรับสั่งว่า

“ดูกรมหาราช ในปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างเข้าพรรษาตถาคตจะอยู่เทศนาธรรมแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลายในป่าเชตวันอารามแห่งนี้เป็นเวลา ๓ เดือน มหาราชจะไปเยี่ยมพระสหายก็เชิญไปก่อน แล้วกลับมาพบตถาคตอีกครั้งหนึ่งก็ได้”

พญาสีสู่ดีพระทัยมาก จึงอำลาพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมพระสหาย พญาสีสู่ได้อธิษฐานบารมีขอให้น้ำในมหาสมุทรมีมากขึ้นเพื่อนำเรือญาณไปสู่พระสหาย ด้วยบุญญาอธิษฐานนั้น เหล่านางพระคงคาและเทวดาก็บันดาลให้มีน้ำปริมาณมาก สามารถแล่นเรือบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้พญาสีสู่มีความยินดีเป็นยิ่งนัก ได้ตกแต่งบรรณาการอันเป็นเครื่องบริโภค กับทั้งเป็นของฝากพระสหายและพวกข้าราชบริการลงบรรจุในเรือไม้ประดู่ลำยาวประมาณ ๑๐ ศอก (๕ หลา) มีห้อง ๘ ห้อง มีของครบบริบูรณ์ พอเรือแล่นถึงดอยอุจจุปัปปัตตาได้จอดพักอยู่ ครั้นตกดึกในคืนนั้นน้ำในมหาสมุทรเกิดแห้ง น้ำลดลง เรือของพญาสีสู่แล่นต่อไปไม่ได้ จึงร้องไห้เสียใจเป็นทุกขเวทนาเป็นยิ่งนัก แทบจะสิ้นสติลง เพราะต้องพักลงอยู่ที่นั่น

กล่าวถึงพระพุทธองค์ ขณะที่พบพญาสีสู่นั้น พระองค์มีพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เหลือเวลาอีก ๒๐ พรรษา ก็จะเสด็จสู่ปรินิพพาน พระองค์ทรงรำพึงถึงสังขารว่าสถานที่ใดหนอเราจักเก็บอัฐิธาตุของเรา ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์จึงได้เสด็จไปเมืองสาวัตถีราชธานีไปบิณฑบาตยังโรงทานแห่งพญาปเสนทิโกศล ซึ่งได้นำอาหารมาบิณฑบาตและได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ออกพรรษาแล้วถึง ๗ เดือน ยังจะทรงเทศนาธรรมแก่ปวงชนและเทวดาในป่าเชตวันอารามอีกต่อไปหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “ตถาคตจะค้นหาที่เก็บอัฐิของตน เมื่อพบแล้วบอกให้มหาราชได้รับทราบในโอกาสต่อไป”

ครั้งนั้นพญาอโศกมหาราช ผู้ครองนครกุสินารา พระองค์มีพระราชบิดานามว่า “โศกราช” พระเจ้าปู่นามว่า “ศรีธรรมโศกราช” พระเจ้าปู่ของพระองค์ทรงปรารภไว้ว่า “ใครพบพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่าโคตมะจะเกิดอัศจรรย์ต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินซึ่งหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์จะสั่นไหว พอดีขณะนั้นเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา จึงรับสั่งให้ข้าราชบริพารออกค้นหาพราหมณ์ผู้มีความรู้จบไตรเพทมีคุณวิเศษมาถามดูได้ความว่าเป็นนิมิตแห่งการเกิดของพระพุทธเจ้า พญาโศกราชที่ครองนครอยู่ในขณะนั้นมีความยินดีปรีดามาก พระองค์ทรงรำพึงว่า “เรานี้จะได้เห็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เราจะไม่ห่วงสมบัติใดที่มีอยู่เลย จักปวารณาเป็นอุบาสกในพระพุทธเจ้าแล้วจึงมอบราชสมบัติให้ราชบุตรครองแทน”

ทางด้านพระพุทธองค์นั้นได้ทรงอธิษฐานทำนายการเก็บอัฐิธาตุ ถึงแม่น้ำระมิงค์ที่ไหลจากทางทิศเหนือบรรจบกับแม่น้ำยมุนานที ซึ่งไหลมาจากทางทิศตะวันออก พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ ที่ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งแม่น้ำทั้งสองสายมาบรรจบกันและรำพึงด้วยความหยั่งรู้ว่า พระองค์จักต้องเสด็จไปตามแม่น้ำยมุนานทีก่อน แล้วจึงค่อยตัดทางไปทางแม่น้ำระมิงค์ ตัดสินพระทัยแล้วจึงได้เดินทางโดยพระองค์เองเรื่อยๆ ไปจนถึงขุนแม่น้ำแพร่และแม่น้ำน่าน

ครั้นใกล้รุ่งอรุณ พระองค์ทรงเล็งญาณตรวจสรรพสัตว์โลกเห็นพญาสีสู่ประสบความผิดหวังเพราะน้ำแห้งเรือแล่นเข้าเมืองไม่ได้ ประสบทุกขเวทนาแทบอกแตกตาย พระองค์ดำริว่าพญาองค์นี้มีบุญบารีมมากนัก เราควรจะไปโปรด มิฉะนั้นจะสิ้นชีวิตไปเปล่าและพระองค์ทรงรำพึงถึงเทศนาธรรมกถาที่จะไปโปรดให้สัตว์โลกทั้งหลายจำนวน ๘๔,๐๐๐ คน ให้บรรลุมรรคผลในการโปรดครั้งนั้น

วัดพระบรมธาตุดอยเกิ้ง

เมื่อรุ่งสว่าง พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์เสด็จโดยกลางหาวนภากาศ (เหาะเหินโดยญาณสมาบัติ) ถึงแม่น้ำระมิงค์ที่เชิงเขาอุจจุปัปปัตตา ดำริจะชำระล้างพระโอษฐ์และแปรงพระทนต์ แต่เสด็จหาที่ประทับยืนอันเหมาะสมมิได้ คงมีแต่ปากถ้ำแห่งเชิงเขาอุจจุปัปปัตตาเท่านั้น ขณะนั้นมีพญานาคตัวหนึ่งอยู่รักษาปากถ้ำ เห็นพระพุทธองค์ประทับยืนอยู่ที่นั้นจึงออกจากพื้นน้ำแล้วน้ำถวายน้ำแก่พระพุทธองค์เพื่อสรงพระพักตร์ แปรงพระทนต์และบ้วนพระโอษฐ์เสร็จแล้วพระพุทธองค์ทรงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วเสด็จต่อขึ้นไปตามลำน้ำ เมื่อเทวดาเล็งเห็นว่าจักมีคุณประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง จึงได้ตะแครงหินก้อนนั้นลงไปไว้ ณ แม่น้ำระมิงค์ทางทิศตะวันตก

ขณะนั้น มีบริวารผู้รับใช้ของพญาขุนแสนทอง ๒ คน ออกเที่ยวป่าพบพระพุทธองค์ ตรงขุนห้วยแม่น้ำนั้น จึงกลับไปนำความเข้าแจ้งแก่พญาขุนแสนทองให้ทรงรับทราบ พญาขุนแสนทองทราบดังนั้นก็ดีพระทัยเป็นยิ่งนัก ดำริว่าเราควรจะนำสัปทน (ร่ม) ทองคำไปกั้นแสงพระอาทิตย์ เพื่อเป็นการคารวะแก่พระพุทธเจ้า พระองค์จึงนำสัปทนทองคำกว้าง ๗ วา หนาประมาณนิ้วหัวแม่มือ เดินทางไปยังที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่

พระพุทธองค์เสด็จตามลำห้วยถึงที่มาบรรจบกันแล้วจึงได้ทรงซักจีวร เมื่อข้ามน้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็ได้ตากจีวรแห้ง แล้วแวะเข้าห้วยทางซ้ายไปถึงเชิงดอยพบพญาสีสู่ เมื่อพญาสีสู่พบพระพุทธองค์ก็ให้มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง ก้มลงกราบแทบพระบาทและทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเสด็จมาเมื่อใด ครั้งนั้นพบพระองค์ที่ป่าเชตวันอาราม บัดนี้พระพุทธองค์ เสด็จมาถึงที่นี้ในเวลาอันรวดเร็ว ระอค์เสด็จมาแล้วได้กี่วันพระเจ้าข้า พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า

“ดูกร มหาราช ตั้งแต่พบกันคราวนั้นถึงปัจจุบันนี้ได้ ๒ เดือน กับ ๒๕ วัน มหาราชท่านมาหยุดที่ตรงนี้เพราะเหตุใด”

พญาสีสู่ได้กราบทูลแก่พระพุทธเจ้าตามความที่ต้องการประสบกับความทุกขเวทนาครั้งนี้ หลังจากนั้นได้ถวายบิณฑบาตแก่พระพุทธเจ้า เมื่อรับบิณฑบาตแล้วพระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง และทรงวางบาตรลงบนก้อนหินนั้น เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จ ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อระงับทุกขเวทนาแก่พญาสีสู่ว่า

“อะนิจจา  วะตะ  สังขารา                อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิตวา   นิรุชฌันติ                  เตสัง  วูปะสะโม  สุโข”

เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ด้วยพระคาถานี้สรรพสัตว์ทั้งหลายจำนวน ๘๔,๐๐๐ คน ได้มาฟังก็บรรลุธรรมวิเศษ ส่วนพญาสีสู่ก็ระงับทุกขเวทนาได้แต่ยังไม่บรรลุธรรม พระพุทธเจ้าทรงรู้ด้วยญาณปัญญาจึงทรงตรัสถามพญาสีสู่ให้แจ้งความจริงว่า

“มหาราช มีความปรารถนาสิ่งใดเล่า”

พญาสีสู่จึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนกับพระพุทธองค์ในกาลข้างหน้าโน้น ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าจะได้สมปรารถนาหรือไม่ พระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้าพิจารณาดูตามบุญบารมีของพญาสีสู่อันได้สร้างสมไว้มากนัก จึงทรงทำนายว่าพญาสีสู่ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีชื่อว่า “อภิภูน” อันจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า พญาสีสู่ทราบดังนั้นให้มีความยินดียิ่งนัก จึงถวายเรือของตนพร้อมด้วยเครื่องบริโภคในเรือให้แก่พระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าได้ทรงยืนประทับรอยพระบาทข้างหนึ่งไว้บนเรือ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พญาสีสู่ แล้วกล่าวว่า

“ดูกร มหาราช ได้ถวายเรือแก่ตถาคต เราก็ได้ประทับรอยพระบาท เพื่อเป็นกุศลผลบุญแก่มหาราชตลอดสิ้นกาลนาน”

วัดพระบรมธาตุดอยเกิ้ง

ในกาลนั้นมีอุบาสกผู้หนึ่งนามปุระสะ มีก้อนหินก้อนหนึ่งรูปร่างสัณฐานคล้ายหลังเต่ากว้าง ๓ ศอก ยาว ๗ ศอก พระพุทธองค์ทรงประทับรอยพระบาทบนหินนั้น พญาสีสู่ได้ทำการสักการะแล้วนำหินนั้นมาก่อเป็นอุโมงค์ยั้งเรือไว้ เพื่อมิให้เป็นสรณะแก่สัตว์ในภายหลังนำไปใช้ส่วนตัวเนื่องจากเรือนั้นถวายแก่พระพุทธเจ้าแล้วพญาสีสู่ได้อธิษฐานว่า “เรือลำนี้ซึ่งได้ถวายแก่พระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ได้ประทับรอยพระบาทไว้ด้วยขอให้รักษาและอยู่ในที่นานถึง ๕,๐๐๐ พรรษา แห่งายุของพระพุทธศาสนา ขอเรืออย่าได้สลักหักพังเลย อุโมงค์นี้ก็ขอให้มั่นคงถาวรด้วยดีเถิด บุคคลใดอย่าได้รื้อถอนออกเสีย เมื่ออธิษฐานเก็บฝังเรือนั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จขึ้นสู่ภูเขาอุจจุปัปปัตตาทางทิศตะวันออก

พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในเหล่าเทวดาของสรวงสวรรค์ก็มายกหินที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งก้อนนั้น นำไปวางไว้กลางเรือเพื่อเป็นสักขีพยานแห่งปวงชน และได้นำฉัตรมากั้นแสงอาทิตย์แด่พระพุทธองค์ ส่วนขุนแสนทองก็นำสัปทนทองคำมากั้นแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน

ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จถึงบนยอดเขาและประทับนั่งที่นั่นแล้ว พระอินทร์นั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถือฉัตรมากั้นถวาย ส่วนขุนแสนทองนั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยกั้นสัปทนทองคำถวายพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสพุทธพจน์ออกมาว่า “สถานที่นี้งามนัก” จบคำปราศรัยเหล่าพระอรหันต์ พระอินทร์ พญาอโศกราช พญาสีสู่และขุนแสนทอง พร้อมด้วยโยคีได้ขอพระเกศาธาตุแห่งพระพุทธเจ้า ด้วยเห็นว่าบริเวณนี้งดงามนัก ควรจักบรรจุพระเกศาไว้เพื่อเป็นที่เคารพสักการบูชาของคนทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าพิจารณาว่าเมื่อถึงกึ่งพุทธกาลหน้าตถาคตจักรุ่งเรืองที่นี่ และสรรพสัตว์ทั้งหลายก็จะมาทั่วทุกสารทิศ เขาก็จะได้บูชาสมประสงค์ พระองค์จึงได้เสยพระเกศาโดยใช้พระหัตถ์เบื้องขวาสางพระเกศาได้มาหนึ่งเส้น แล้วปล่อยให้ลอยลงมาในอนาคตตกลงเบื้องหน้าเหล่าพระอรหันต์ พญาโศกราช พญาสีสู่ ขุนแสนทอง และโยคีทั้งหลาย เมื่อได้รับพระเกศาแล้วจึงเก็บบรรจุผอบต่างๆ เช่น ผอบแก้ว ผอบทองคำ ผอบเงิน แล้วบรรจงเก็บในสำเภาทองคำ เสร็จแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ประสงค์จักเก็บไว้ในที่ใดต่อไป

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ถ้ำนี้มีบริเวณเป็นที่กว้างขวางมาก มีประตู ๓ ประตู น่าเก็บพระสารีริกธาตุแห่งตถาคตรวมทั้งพระธรรมถึก และพระวรกายของตถาคตท่านทั้งหลายจงไปเก็บไว้ที่นั้นเถิด” พระอินทร์เจ้าจึงกราบทูลว่า “พระองค์มีพระประสงค์จะวางสารีริกธาตุพระธรรมถึกกับทั้งพระวรกาย ไว้ตรงไหน”

พระพุทธเจ้า กล่าวพระพุทธพจน์ว่า “ดูกรมหาราชเจ้า ท่านจงเนรมิตให้เป็น ๓ ชั้นเถิด ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ๒๑๘ ปี ภายหน้าจักมีพญาองค์หนึ่งนามอโศกราชจะมาเริ่มต้นพระศาสนาของตถาคต พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๑๐๐ องค์ ก็จะมาพบสารีริกธาตุพระอัฐิพระนลาฏซ้าย (กระดูกหน้าผากซ้าย) ของตถาคตครึ่งหนึ่งพร้อมด้วยพระสารีริกธาตุเม็ดเล็กๆ อีก ๓ ทะนาน ให้แบ่งเก็บดังนี้

ชั้นบน                ให้เก็บพระสารีริกธาตุ
ชั้นกลาง             ให้เก็บพระธรรมถึก
ชั้นล่าง                มอบให้พญาศรีโศกราช สร้างพระรูปของตถาคตไว้เหมือนองค์จริงเถิด” 

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ก็เดินทางกลับไปพักอยู่ในป่าเชตวันอาราม ส่วนพระอรหันต์ทั้งหลาย พร้อมด้วยพระอินทร์ พญาสีสู่ พญาโศกราช และขุนแสนทอง ก็ได้นำผอบทองคำลงไปสู่ในถ้ำทางทิศตะวันออก พระอินทร์เจ้าได้เนรมิตถ้ำให้เป็น ๓ ชั้น กว้าง ๑ วา สูง ๓ ศอก ชั้นบนนั้นเก็บผอบแก้วไว้บนชั้นทองคำ ขุนแสนทองก็นำสัปทนทองคำที่กั้นให้พระพุทธเจ้า กางให้กับพระธรรมถึกและพระเกศาธาตุ

พระพุทธองค์ทรงรำพึงว่า

“ใยภายภาคหน้า ปวงชนทั้งหลายจะไม่รู้จักจุดประทีปบูชาตถาคต พระองค์จึงทรงรวบรวมทองคำทิพย์เท่าเม็ดผักกาด แล้วมอบให้พระอินทร์สั่งให้พระวิษณุกรรมหลอมประทีปกว้าง ๑ วา หนา ๑ นิ้ว ลึก ๓ วา แล้วใส่น้ำมันทิพย์ไว้ บรรจุสายสิญจน์แทนไส้ตะเกียงโตเท่าแขนของมนุษย์ให้จุดไว้ในชั้นล่าง”

เมื่อเสร็จแล้ว พระวิษณุกรรมได้อธิษฐานไว้ว่า “ตราบใดที่พระสารีริกธาตุแห่งตถาคตยังไม่เข้าสู่โคนต้นศรีมหาโพธิ์ ขอให้ไฟดวงนี้อย่าดับเป็นอันขาด และน้ำมันก็อย่าได้เหือดแห้งไป” แล้วพระวิษณุกรรมจึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “อันพระสารีริกธาตุของพระองค์ จะมาตั้งไว้ในภูเขานี้หรือพระเจ้าข้า และเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วนานเท่าไรศาสนาของพระองค์จึงจักรุ่งเรืองไปในภาคหน้า พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ดูกรมหาราช อันพระสารีริกธาตุจักตั้งอยู่ในภูเขาลูกนี้ เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๖๗ ปี ๒ เดือน ๒๕ วัน ศาสนาก็จักรุ่งเรือง”

พระอรหันต์ พญาโศกราช พญาสีสู่ และพระอินทร์เจ้าก็ทูลถามพระพุทธเจ้าความว่า “ภูเขาลูกนี้หรือพระเจ้าข้าที่พระองค์ทรงทำนายว่าจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระองค์ก็ดีพระเจ้าข้า จะได้เป็นที่ประเสริฐในภายภาคหน้าจักปรากฏชื่อไปนานแสนนาน” และพระพุทธองค์ทรงกล่าวอีกว่า “ตถาคตมาถึงภูเขาลูกนี้ ขุนแสนทองก็นำสัปทนทองคำมากั้นแสงแดดให้เราตถาคตจักให้ชื่อว่า “ดอยเกิ้ง”

ยังเป็นนิมิตแห่งภูเขาลูกนี้ด้วยกับมีเทวดาองค์หนึ่งกล่าวว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้า ข้าจักอยู่รักษาพระบรมธาตุนี้ ข้าฯไม่มีวิมาน แล้วจักอาศัยอยู่ตรงไหนจึงจะดี” พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า “ดูกรเทวดากับรุกขเทวดาอีกองค์หนึ่งอยู่ภายใต้โน้น ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก อีก ๗ วัน รุกขเทวดานั้นจะมาจุติวิมานแก่เทวดาเจ้า แล้วก็จักลำดับจากชั้นวิมานมาจุติขึ้นไว้ให้ หากผู้ใดใคร่รักษาพระสารีริกธาตุแห่งตถาคตก็ขอให้รักษาสัก ๗ วันก่อนเถิด” เทวดาองค์นั้นยินดีเป็นยิ่งนัก

วัดพระบรมธาตุดอยเกิ้ง

ขุนแสนทองเมื่อได้ยินพระพุทธเจ้ากล่าวกับเทวดานั้นก็ได้ทูลถามว่า ตนได้นำสัปทนทองคำกั้นแดดถวายจักได้รับอานิสงส์อันใด เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน “ดูกรเทวดากับรุกขเทวดาอีกองค์หนึ่งอยู่ภายใต้โน้น ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก อีก ๗ รุกขเทวดานั้นจะมาจุติวิมานแก่เทวดาเจ้า แล้วก็จักลำดับจากชั้นวิมานจุติขึ้นไว้ให้ หากผู้ใดใคร่รักษาพระสารีริกธาตุแห่งตถาคตก็ขอให้รักษาสัก ๗ วันก่อนเถิด” เทวดาองค์นั้นยินดีเป็นยิ่งนัก

ขุนแสนทองเมื่อได้ยินพระพุทธเจ้ากล่าวกับเทวดานั้นก็ได้ทูลถามว่า ตนได้นำสัปทนทองคำกั้นแดดถวายจักได้รับอานิสงส์อันใด เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน “ดูกรขุนแสนทองมีรุกขเทวดาองค์หนึ่งอยู่ทางทิศเหนือไม่ไกลจากที่นี้ อีก ๗ วัน ก็จะจุติจากวิมานแล้ววิมานนั้นสูง ๑๒ โยชน์ ด้วยอานิสงส์ของท่าน เมื่อท่านสิ้นบุญไปแล้วจักได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรและมีวิมานนั้นสูงได้ ๑๒ โยชน์ ด้วยอานิสงส์ของท่าน เมื่อท่านสิ้นบุญไปแล้วจักได้ไปเกิดเป็นเทวบุตรและมีวิมานอยู่อาศัยดูแลรักษาพระสารีริกธาตุแห่งตถาคตในภูเขานี้ นับนานได้ ๕,๐๐๐ ปี

เมื่อใดพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาจุติ ขุนแสนทองจักได้เป็นสาวกองค์หนึ่งด้วย ขุนแสนทองมีความยินดียิ่งนัก ได้ขออาราธนานิมนต์พระพุทธเจ้าอยู่ เพื่อจักได้เป็นกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่แก่ตนถึง ๗ วัน กับได้ปรารภกราบลาไปสู่เมืองของตน พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า “บ้านท่านอยู่ไกลจากที่นี่เพียงไร” ขุนแสนทองทูลถวายว่า บ้านเมืองตนมีอยู่ประมาณครึ่งการุต และไกลออกไป ๕๐๐ ขาธนู และในวันรุ่งขึ้นขุนแสนทองได้นำหลานตนเองอายุ ๑๗ ปี มาฝากเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ทั้งได้นำโภชนาอาหารอันประณีตพร้อมด้วยลูกสมอถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าฉันแล้ว พระอานนท์จึงทูลถามจักนำอาหารที่เหลือไปไว้ ณ แห่งใดดี

พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า “ดูกรอานนท์ ที่ใดไม่เป็นที่สาธารณะก็นำไปเทไว้ที่นั้น และหากผู้ใดมากินอาหารนั้นก็จักเจริญด้วยธรรมทั้งปวง ๕ ประการแก่เขาผู้นั้นแล” พระอานนท์พิจารณาที่อันควรแล้ว จึงเดินไปทางทิศตะวันตกของเขาลูกนั้นประมาณ ๕๘๐ วา ซึ่งมีจอมปลวกสูงเกิดขึ้นระหว่างหิน ๓ ก้อน คล้ายก้อนเส้า (เตาหุงโบราณ) เทอาหารและอธิษฐานว่าน้ำเหลือจากการฉันอาหารแล้วของพระพุทธเจ้านี้ ขอรินน้ำสมอไพรต้นนี้สู่แผ่นดินตรงนี้ อย่าได้มีความแห้งแล้งเลย ทั้งสมอต้นนี้ก็อย่าได้แห้งตายลงเลย ขอให้สมอไพรต้นนี้จงอายุ ๕,๐๐๐ ปี ด้วยเถิด หากว่าสมภารรูปใดมาพบ หรือบุคคลใดมาดื่มน้ำนี้แล้วก็จักเจริญด้วยธรรม ๕ ประการ เป็นต้นว่า จักมีอายุยืนนาน มีลักษณะงดงาม ดังคำอธิษฐานของพระอานนท์ด้วยเถิด”

เมื่อขุนแสนทอง นำหลานของตนมามอบถวายแด่พระพุทธเจ้าเพื่ออุปสมบทแล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้บวชให้เป็นพระภิกษุ แล้วสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานให้พอภาวนาได้ วันหนึ่งก็ได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น ได้รับมงคลนามจากพระพุทธเจ้าว่าอุบาสกผู้เป็นเป็นโยมอุปัฏฐากพระพุทธเจ้ากับผู้ดูแลใกล้ชิด

ณ ที่เหนือภูเขาอุจจุปัปปัตตา พระพุทธองค์ได้ประทับอยู่เทศนาโปรดมนุษย์เทวดาทั้งหลายได้ ๗ วัน ๗ คืน เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายสดับพระธรรมเทศนาของพระองค์ได้ ๗ วัน ๗ คืน ได้รับรสพระธรรมอันวิเศษบรรลุธรรมเป็นโสดาบันจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ คน ส่วนขุนแสนทองนั้นถวายเครื่องไทยทานอันเป็นทานมหากุศลแก่พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์เจ้า ๕๐๐ องค์ ในเวลา ๗ วัน ๗ คืน รวมข้าวของถวายทานทั้งหมดเป็นประมาณโกฏิหนึ่ง

ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จดำเนินตามไหล่เขานั้นมาลงสู่แม่น้ำระมิงค์ กับเสด็จพระราชดำเนินสำรวจดูสถานที่อันจะเก็บพระบรมอัฐิธาตุไว้ในอนาคต เมื่อพระองค์ทำนายไว้แล้วก็เสด็จผ่านหมู่บ้านใหญ่น้อย และเทศนาธรรมโปรดชาวบ้านแถบนั้น แล้วจึงเสด็จกลับป่าเชตวันอารามที่พระองค์ประทับเป็นประจำ

ขณะนั้น พระอุบาลีเถระก็ติดตามพระพุทธเจ้า เหล่ารุกขเทวดาตามลำดับนั้น ก็จุติพรากจากวิมานของตนได้ไปจุติในทิพยวิมานชั้นฟ้าแห่งชั้นจาตุมหาราชิกา ส่วนเทวดาผู้รักษาพระบรมอัฐิธาตุแห่งพระพุทธเจ้านั้น ก็ได้ไปสู่วิมานของตน

วันซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จจากดอยเกิ้งไป ขุนแสนทองก็ไปหาเพื่อนบ้านจำนาน ๑๑๖ คน ซึ่งอาศัยอยู่ตามเชิงดอยอุจจุปัปปัตตาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหมู่บ้านประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน ขุนแสนทองกล่าวว่า “เพื่อนทั้งหลาย ตัวเรานี้เป็นขุนเมื่ออายุ ๒๕ ปี จึงได้สถาปนาแทนพ่อว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าพระองค์ประกอบไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันมหาศาลทั้งยังโปรดตัวเรา พระองค์ได้มอบพระเกศาธาตุให้เป็นที่สักการบูชาแก่เรา ๑ องค์ (หนึ่งเส้น) ยาว ๘ นิ้ว

เรามีความยินดียิ่งนักขอให้หมู่บ้านเรา ๑๐๐ ครอบครัวนี้ ช่วยบริจาคข้าวเปลือกปีละ ๗ ถัง (เจ็ดต๋าง) เริ่มมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดแห่งตระกูลเรา ยังมิได้ขอสิ่งใดจากสูเจ้า (ท่านทั้งหลาย) เลย ตัวเราจะขอนำข้าวเปลือกนี้บริจาคทานรอบๆ ภูเขา อันเป็นการค้ำชูพระธาตุดอยเกิ้งนี้ไว้ อย่าให้คนทั้งหลายมาเบียดเบียนพระบรมธาตุแห่งพระพุทธเจ้านี้ และสูเจ้าทั้งหลายก็จะได้เป็นข้าราชบริภารของพระพุทธเจ้าไว้ด้วย หมู่บ้านนี้ภายหน้าขอตั้งชื่อไว้ว่า “บ้านแว้ง” เถิด” ปวงชนทั้งหลายต่างเห็นดีด้วย ตามขุนแสนทองทุกประการ หมู่บ้านนี้ยังอยู่ที่นั่นตลอดมาจนทุกวันนี้

วัดพระบรมธาตุดอยเกิ้ง

ที่มา dannipparn.com

scroll to top