ลัวะดอยเต่าหายไปไหน
“คนดอยเต่าสันนิษฐานว่าคนดอยเต่าได้สืบเชื้อสายมาจากคน ๓ เผ่า คือ ลัวะ ตะโข่ คะฉิน” เป็นข้อความที่เขียนในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระครูปัญญาพรหมคุณ (พระครูคำปวน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวังหม้อ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ด้านในหนังสือมีชื่อเรื่องว่า ประวัติเมืองดอยเต่าในอดีต หน้า ๓ เขียนโดย ผอ.วิทยา พัฒนเมธาดา เป็นข้อกังขาของคนดอยเต่าว่า คนดอยเต่าสืบเชื้อสายมาจากเผ่าลัวะจริงๆหรือ ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมีข้อมูลหลักฐานอะไรมาอ้างอิง จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวทำให้คนดอยเต่ามีความคิดที่แตกต่างกัน บางคนเชื่อว่าจริง บางคนไม่เชื่อ บางคนไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้หรือไม่ ในเมื่อคนดอยเต่าพูดภาษาพื้นเมือง เขียนภาษาด้วยอักษรพื้นเมืองล้านนา พูดภาษาลัวะไม่เป็นเลยสักคำ และเป็นที่น่าสังเกตที่เห็นได้ชัดเจน คือ แต่ละหมู่บ้านในอำเภอดอยเต่า มีสำเนียงการพูดไม่เหมือนกันเลยสักหมู่บ้าน ถึงแม้จะอยู่ห่างกันเพียง ๒ กิโลเมตร สำเนียงการพูดก็แตกต่างกันแล้ว ทุกหมู่บ้านจะมีสำเนียงการพูดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง การที่จะสืบเชื้อสายมาจาก ลัวะ ตะโข่ คะฉิน จึงเป็นเรื่องที่น่ากังขาจริง ๆ โดยเฉพาะชนเผ่าตะโข่ ไม่สามารถสืบค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เนตได้เลย ส่วนเผ่าคะฉินเป็นชนเผ่าหนึ่งอยู่ในรัฐคะฉินประเทศพม่าติดกับประเทศจีน ไม่มีข้อมูลว่าคนคะฉิ่นเคยอยู่อาศัยในบริเวณพื้นที่แห่งนี้มาก่อนเลย
จากการสอบถามสัมภาษณ์ประวัติความเป็นมาและร่องรอยอารยธรรมเก่าแก่ลุ่มน้ำแม่หาด จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ หมู่บ้านได้ตั้งรกรากไม่ถึงร้อยปี บางหมู่บ้านไม่เกิน ๖๐ ปีด้วยซ้ำ มีบ้านไร่และบ้านหลวงดอยเต่าเท่านั้น ที่ตั้งอยู่นานกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงใด ๆ ว่าได้โยกย้ายมาจากไหน ตั้งหมู่บ้านมานานเท่าไร ส่วนบ้านไร่คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าสืบ ๆ กันมาว่า ได้ย้ายมาจาก อ. แม่พริก จ.ลำปาง ย้ายมาอยู่ทำไร่เพียง ๓ ครอบครัวเท่านั้น คือ แม่เฒ่าฟองแก้ว แม่เฒ่าเป็ง แม่เฒ่างา โดยเฉพาะแม่เฒ่างาจะเห็นได้ชัดเจนว่า สืบเชื้อสายรากเหง้าจนถึงปัจจุบัน ได้เพียง ๔ รุ่นคนเท่านั้น การสร้างหมู่บ้านไร่ น่าจะมีอายุไม่เกิน ๒๐๐ ปี และอาจจะมาอยู่ภายหลังชุมชนบ้านดอยเต่าเล็กน้อย น่าจะไม่เกิน ๕๐ ปี ช่วงเวลาเมื่อ ๒๐๐ ถึง ๒๕๐ ปีที่ผ่านมา(พ.ศ. ๒๓๐๕ ถึง พ.ศ. ๒๓๕๕)ถ้าเทียบเคียงประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าตากสินมหาราชและรัชกาลที่ ๑ ได้ร่วมกันกอบกู้เอกราชครั้งที่ ๒ จากพม่าและได้ทำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองน้อยใหญ่ให้เป็นปึกแผ่นตั้งตนเป็นใหญ่ทำการขยายอาณาเขต จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ราชการที่ ๑ ได้ขยายอาณาเขตครอบครองถึงอาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง ตลอดจนถึงเขมร ทหารเอกคนสำคัญที่เป็นคนล้านนาคือพระเจ้ากาวีละ ได้ขับไล่พม่าออกจากอาณาจักรล้านนา โดยเฉพาะเมืองลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ จึงทำให้เมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เป็นเหมือนเมืองร้างหลังจากคนพม่า ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ พระเจ้ากาวีละได้ยกทัพไปกวาดต้อนคนไต ทั้งไตยอง ไตลื้อ ไตเขิน ไตยวน ไตใหญ่ มาจากสิบสองปันนา เชียงตุง เชียงรุ้ง และเชียงแสน เข้ามาอยู่แทนที่ เรียกได้ว่าเป็นยุคเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง เช่น เมืองลำพูนจะเป็นคนไตยองที่ถูกกวาดต้อนมาจากสิบสองปันนา เมืองลำปางเชียงใหม่ อุตรดิตถ์ เมืองราชบุรี สระบุรี บางพื้นที่จะเป็นคนไตโยน หรือไตยวนมาอยู่ เป็นต้น
สิ่งที่น่าสังเกตจากการสอบถามสัมภาษณ์อรยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดมักจะมีการกล่าวถึงชนกลุ่มลัวะเท่านั้น เช่น บ่อถลุงเหล็กของลัวะ วัดลัวะ โป่งลัวะ มะม่วงลัวะ ถ้ำลัวะ หนองย่าลัวะ บ้านลัวะห่างจ๊างคำ สถานที่หรือสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นการเรียกขานของคนดอยเต่า คนอำเภอลี้ และชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่หาดในปัจจุบัน แสดงว่าคนลุ่มน้ำแม่หาดปัจจุบันน่าจะไม่ใช่ ลัวะ ปัญหามีอยู่ว่า ลัวะที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนี้หายไปไหน จะถูกไล่ฆ่าไล่ฟันพร้อมกับคนพม่าหรือไม่ ลัวะต้องหนีไปซ่อนตัวในถ้ำในป่าบางกลุ่มอาจอยู่รอด บางกลุ่มอาจถูกฆ่าตายหมดทั้งกลุ่ม
คงเป็นไปไม่ได้ว่า ลัวะจะเปลี่ยนแปลงทั้งภาษาพูด จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดถึงความเชื่อต่าง ๆ จนกลายเป็นคนดอยเต่าซึ่งเป็นคนพื้นเมืองในปัจจุบัน เพราะในช่วงเวลาเมื่อ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา การสื่อสารยังไม่เจริญ วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ไม่มี คนสมัยนั้นไม่ได้เข้าเรียนหนังสือร่วมกันเหมือนคนในสมัยนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ว่า ลัวะจะถูกกลืนเอกลักษณ์ชาติพันธ์จนกลายเป็นคนดอยเต่าในปัจจุบัน
เป็นไปได้ไหมว่า ลัวะจะถูกไล่ล่าถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลงเหลือไว้แต่จิตวิญญาณที่คอยทำเสียงฆ้องเสียงกลองหลอกหลอนชาวบ้านในวันศีลวันพระตามที่ชาวบ้านเล่าขาน ส่วนลัวะที่หนีตายไปได้ก็ต้องคอยหลบๆซ่อนๆอยู่ในถ้ำ ตามป่าเขา ทิ้งให้บริเวณลุ่มน้ำแม่หาด เป็นบ้านร้างเมืองร้างกลายเป็นดงไม้สักขึ้นหนาทึบมีแต่เศษซากปรักหักพังวัดวาอารามอารยธรรมเก่าแก่ไว้ หลังจากนั้นคนดอยเต่าลุ่มน้ำแม่หาดยุคปัจจุบันจึงย้ายเข้ามาอยู่แทนที่ของชนเผ่าลัวะ จึงเรียกสิ่งของเครื่องใช้ สถานที่ต่าง รวมถึงวัดร้างต่าง ๆ ว่าเป็นของลัวะ
ใช่ว่าจะมีแต่ลุ่มน้ำแม่หาดเท่านั้นที่มีร่องรอยอารยธรรมของลัวะให้เห็น บริเวณแถบลุ่มแม่น้ำปิงก็มีเช่นเดียวกัน หมู่บ้านเก่า ๆ ก่อนถูกน้ำเขื่อนภูมิพลท่วม เช่น บ้านท่าครั่ง บ้านชั่ง บ้านมืดกา บ้านงิ้วเฒ่า จะพบซากปรักหักพังวัดวาอารามเก่าแก่เป็นจำนวนมาก เช่น วัดแยงเงา วัดกาด วัดสำโฮง ฯลฯ วัดเก่าแก่เหล่านี้ คนดอยเต่าลุ่มน้ำปิงและลุ่มน้ำแม่หาดต่างเชื่อว่าเป็นของชนเผ่าลัวะ ไม่มีใครกล้าไปแตะต้องรบกวนเช่นกัน แต่ละหมู่บ้านจะสร้างวัดขึ้นใหม่ จะมีวัดหลวงดอยเต่า วัดบ้านไร่ วัดม่อนจอมธรรมบ้านสันป่าดำ และวัดบ้านโปงเท่านั้นที่สร้างวัดใหม่ทับที่เดิมของวัดเก่าของลัวะ ส่วนหมู่บ้านอื่นจะทิ้งวัดเก่าให้เป็นวัดร้าง เพราะเชื่อว่าไม่ใช่ของบรรพบุรุษ จึงไม่มีความรู้สึกหวงแหนที่จะทำนุบำรุงวัดเก่าให้ดียิ่งขึ้น มีแต่จะสร้างวัดขึ้นใหม่ ถ้าคนดอยเต่ามีความเชื่อว่าเป็นมรดกตกทอดของบรรพบุรุษ วัดซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างของปู่ย่าตาทวดก็คงไม่ทิ้งไว้เป็นวัดร้าง คงจะช่วยกันบูรณะซ่อมแซมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ไม่ต้องสร้างวัดใหม่ แม้แต่บ้านหลวงดอยเต่า วัดบ้านโปง วัดบ้านสันต้นเปาก็ยังเชื่อว่า ได้สร้างวัดใหม่ทับที่วัดเก่าของลัวะ ไม่ใช่วัดที่บรรพบุรุษตนเองสร้างไว้
จากการศึกษาประวัติซึ่งเป็นอักษรเมืองใบลาน จำนวน ๖ แผ่นหน้าหลัง ของพ่อหน้อยอินตา คำปาต๋า บ้านป่าขามเหนือ แปลและเรียบเรียงโดย นายสุภชัย ใจชุ่มอก บันทึกลงในหนังสือที่ระลึกเนื่องในงานทำบุญฉลองอุโบสถ ตัดหวายลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา เมื่อปี ๒๕๔๙ ได้ความว่า
เวลานั้นคนลัวะ ๒ กลุ่มได้ถูกไล่ล่าโดยสุทโท ลัวะกลุ่มบ้านตาลหลวงนำโดยหมื่นผละได้พาลูกบ้าน บริวารหนีข้าศึกจากบ้านตาลหลวง ไปอยู่ตะเมาะ หนีจากตะเมาะ ไปอยู่บ้านบ่อหลวง ลัวะอีกกลุ่มนำโดยหมื่นยศมีลูกบ้านบริวารอยู่ที่บ้านใหม่ ผู้เขียนเข้าใจว่า น่าจะเป็นบ้านตาลปัจจุบัน ถูกสุทโทไล่จับได้หนีไปถึงดอยตั๊บ สุดท้ายได้จับหมื่นยศที่ดอยตั๊บ คงเหลือแต่หลานของหมื่นยศ ๑ หลัง และไพร่ ๖ หลังรวมทั้งหมด ๗ หลังคาเรือนที่หลบ ๆ ซ่อน ๆอยู่บนดอย ในที่สุดก็ถูกเกลี้ยกล่อมให้ลงจากดอยมาอยู่ที่โต้งบดสถ เก๊ามะเดื่อย่าเป็ง
จากหลักฐานชิ้นนี้ทำให้บ้านตาลเชื่อว่า รากเหง้าของคนบ้านตาลคือ ลัวะจาวตาลหรือลัวะบ้านตาล ถ้าหากวิเคราะห์ให้ดี ถ้าลัวะย้ายจากดอยตั๊บมาอยู่ที่โต้งบดสถเก๊ามะเดื่อย่าเป็ง แสดงว่าย่าเป็งต้องเป็นคนพื้นเมืองอยู่หมู่บ้านใกล้ ๆนั่นมาก่อน อาจเป็นชุมชนบ้านตาลนั่นแหละที่เป็นคนพื้นเมืองและมีคนชื่อย่าเป็ง เพราะคำว่า เป็ง หมายถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ คนพื้นเมืองเรียกว่า เดือนเป็ง ยี่เป็ง ที่สำคัญคนเขียนเรื่องราว เขียนด้วยตัวหนังสือพื้นเมือง อักษรล้านนา คนลัวะไม่มีอักษรเขียน มีแต่ภาษาพูด คนเขียนน่าจะเป็นคนพื้นเมือง และเป็นคนบ้านตาล น่าจะไม่ใช้ลัวะ การที่คนลัวะมาอาศัยอยู่ด้วยเพียง ๗ หลังคาเรือน อาจถูกคนบ้านตาลซึ่งอยู่นั่นก่อนแล้วกลืนภาษาวัฒนธรรมของลัวะให้เลือนหายไป หรือลัวะโต้งบดสถอาจหนีย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เป็นไปได้ แต่คงไม่ถึงกับเป็นรากเหง้าของคนบ้านตาลเสียทั้งหมด
จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่บ้านป่าขามเหนือ ป่าขามใต้ อายุ ๙๐ ปี ถึงอายุ ๑๐๔ ปี ท่านไม่เชื่อว่าคนบ้านตาลเป็นคนลัวะ ท่านเชื่อว่าท่านเป็นคนพื้นเมือง เพราะสมัยเด็ก ๆ ก็เห็นลัวะนำมีด เคียว หรือเคียงมาแลกเสื้อผ้า และคนบ้านตาลได้ใช้ภาษาเหนือมาตลอด ท่านคิดคนบ้านตาลเป็นคนไต อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาครั้งนี้พอจะทำให้เห็นว่า ลัวะได้ถูกไล่ล่าจะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบได้ แต่เป็นข้อพิสุทธิ์ได้ว่าลัวะถูกไล่ล่า และได้หนีเข้าป่าเข้าดอย จากการบอกเล่าของพ่ออุ้ยกาบ บอกว่าพวกไตใหญ่ หรือเงี้ยว ไล่ฆ่าชนเผ่าลัวะ ในหนังสือใบลานดังกล่าวยังบันทึกไว้ว่า ลัวะที่มาอยู่โต้งบดสถ ได้นำข้าวของเงินทองไปถวายเจ้าเมืองอังวะ ประเทศพม่า ซึ่งเวลานั้นเมืองเชียงใหม่อาจตกอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรพู่กาม และอาณาจักรอังวะ อยู่นานถึง ๒๑๖ ปี ลัวะอาจเป็นคนของพม่า หรือเข้ากับทางฝ่ายพม่าไม่เข้ากับคนไต เลยถูกไตหรือเงี้ยวไล่ฆ่าไล่ฟันพร้อม ๆ กับพม่าก็เป็นไปได้ คนชื่อสุทโท อาจจะเป็นคนไตมาตั้งฐานทัพที่เมืองฮอด เพื่อไล่ล่าคนลัวะ คนพม่าก็เป็นไปได้ ป้าพา เปี้ยพริ้งเล่าว่า ลัวะบ้านห่างจ้างคำ (บ้านร้างของลัวะอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านไร่) ก็ถูกไล่ฆ่าไล่ฟัน และได้พาลูกพาเมียหนีเข้าป่าเข้าดอย บางคนก็ถูกจับได้ถูกนำไปฆ่าที่เมืองฮอด
จากการสืบค้นสัมภาษณ์คนที่หนีน้ำท่วม ทั้งบ้านวังหมอ บ้านหนองบัวคำ บ้านท่าเดื่อ บ้านแอ่น ได้ข้อมูลตรงกันว่า คนที่มาขุดค้นหาของเก่าของโบราณในบริเวณที่ลัวะเคยอาศัยนั้น ไม่ใช่คนในอำเภอดอยเต่า จะเป็นคนมาจากทางใต้ เขาจะขี่เรือขึ้นมาตามลำน้ำปิง เพื่อจะมาขุดค้นหามรดกเก่าๆ ของชนเผ่าลัวะ พวกนี้เขาจะมีลายแทง หรือคำบอกเล่าให้ลูกหลานต่อ ๆ กันมา ว่าสิ่งของมีค่าอยู่ตรงไหน มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ จากคำบอกเล่านี้ พอจะมองเห็นว่า คนลัวะส่วนหนึ่งเท่านั้นที่หนีขึ้นไปอยู่บ้านบ่อหลวง บ่อสลี ส่วนมากจะหนีล่องใต้ ตามลำน้ำปิง พอเวลาผ่านไปนานเป็นสิบ ๆ ปี จึงกลับมาขุดค้นหาของเก่า ตามที่ปู่ย่าตายายหรือบรรพบุรุษให้ลายแทงไว้
เป็นที่น่าสังเกตที่คนดอยเต่ามีสำเนียงการพูดที่แตกต่างกัน เมื่อยี่สิบปีที่ผ่านมาคนดอยเต่าจะมีสำเนียงการพูดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ในปัจจุบันอาจพอจะมีอยู่บ้างสำหรับคนเฒ่าคนแก่ คนรุ่นหลัง ๆ อาจจะแยกกันไม่ออกเนื่องจากคนปัจจุบันได้เรียนหนังสือระดับชั้นมัธยมร่วมกัน การพูดจาอาจมีสำเนียงคล้ายครึงกันจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นสำเนียงบ้านใด จากการที่คนดอยเต่ามีสำเนียงการพูดที่แตกต่างกัน คงมีสาเหตุมาจาก คนดอยเต่าโยกย้ายมาอยู่จากคนละที่คนละแห่ง ไม่ได้มาจากถิ่นเดียวกัน หรือพัฒนามาจากชนเผ่าลัวะ เหมือน ๆ กัน แต่ที่เหมือนกันคือ ใช้ภาษาพื้นเมืองล้านนา ทั้งภาษาพูด และภาษาเขียนเหมือน ๆ กัน มีประเพณีวัฒนธรรมเช่นเดียวกับคนเมืองล้านนาเหมือน ๆ กัน แตกต่างเพียงแต่สำเนียงการพูดเท่านั้น