ถือเป็นข้อกังขาของคนดอยเต่าว่า คนดอยเต่าสืบเชื้อสายมาจากเผ่าลัวะจริงๆหรือ ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมีข้อมูลหลักฐานอะไรมาใช้อ้างอิงหรือไม่
จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวทำให้คนดอยเต่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน บางคนเชื่อว่าจริง บางคนไม่เชื่อ บางคนไม่แน่ใจว่าจะเชื่อหรือไม่ ในเมื่อคนดอยเต่าพูดภาษาพื้นเมือง เขียนภาษาด้วยอักษรพื้นเมืองล้านนา พูดภาษาลัวะไม่เป็นเลยสักคำ ไม่มีภาษาลัวะหลงเหลือไว้เป็นภาษาถิ่นของคนดอยเต่าเลย ถึงแม้ว่าคนดอยเต่าจะมีสำเนียงการพูดและภาษาถิ่นที่แตกต่างจากอำเภออื่น ๆ ก็ตาม
จากการอ่าน ดอยเต่าในอดีต ของ ผอ. วิทยา จะเห็นว่าประเพณีวัฒนธรรม คติความเชื่อหลาย ๆ อย่างของชนเผ่าลัวะจะแตกต่างจากคนดอยเต่าอย่างชัดเจน ใคร่ขอยกเป็นตัวอย่าง เช่น
๑. “โดยฝ่ายหญิงจะเข้าไปอยู่บ้านฝ่ายชายหรือบ้านที่ฝ่ายชายปลูกใหม่ โดยถือบรรพบุรุษฝ่ายพ่อ บุตรที่เกิดมาอยู่ในสายเครือญาติของฝ่ายพ่อ” แต่คนดอยเต่าที่นับถือผีปู่ย่า จะถือบรรพบุรุษฝ่ายแม่
๒.”ลัวะนิยมบริโภคข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียว” แต่คนดอยเต่านิยมบริโภคข้าวเหนียวมากกว่า จึงมีคำกล่าวเป็นคำคล้องจองว่า ลัวะเยี๊ยะไฮ่ ไตยเยี๊ยะนา
เนื่องจากการทำไร่ข้าวมักจะปลูกข้าวจ้าว ส่วนนาของคนดอยเต่าจะปลูกแต่ข้าวเหนียว
๓.”การฆ่าสัตว์เลี้ยงผีลัวะจะจัดส่วนต่างๆ ของสัตว์ให้ผีอย่างละน้อย สัตว์ที่ใช้เซ่นไหว้ผี มี ไก่ หมู วัว ควาย และ หมา” ส่วนคนดอยเต่ามีเพียงไก่และหมูเท่านั้น ลัวะจะมีการเลี้ยงผีละมังโดยเลี้ยงควายเป็นตัว และเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ ซึ่งคนดอยเต่าจะไม่มีการเลี้ยงทั้งผีละมังและผีปู่แสะย่าแสะ แต่จะมีการเลี้ยงผีปู่ย่า สัตว์ที่ใช้เลี้ยงอย่างมากก็คือหมูหรือหัวหมูเท่านั้น
นี่คือตัวอย่างความแตกต่างระหว่างคนดอยเต่ากับคนลัวะ ที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการแต่งตัว การสวมใส่เสื้อผ้า ภาษาพูด ภาษาเขียน ล้วนเห็นว่าแตกต่างกันมาก ๆ คนดอยเต่าจึงสงสัยข้อสันนิษฐานดังกล่าวว่า คนดอยเต่าได้สืบเชื้อสายจากลัวะจริง ๆ หรือ
ท่าน ผอ.วิทยาคงจะสันนิษฐานได้จากข้อมูลที่ได้คือ การนับถือผีของคนดอยเต่า บางครอบครัว บางหมู่บ้าน เช่น บ้านแอ่น บ้านวังหม้อ มีการนับถือผีลัวะ เพราะคนดอยเต่ามีการเลี้ยงผีปู่ย่า แต่การเลี้ยงผีปู่ย่าของคนดอยเต่าได้แยกพิธีการเลี้ยงได้ ๒ อย่างคือ เลี้ยงผีปู่ย่าแบบคนไต (คนเมือง) และเลี้ยงผีแบบลัวะ หรือเลี้ยงผีลัวะ เมื่อ ผอ. วิทยา ได้ข้อมูลว่าคนดอยเต่าเลี้ยงผีปู่ย่า เป็นผีลัวะ จึงสันนิษฐานว่า คนดอยเต่าได้สืบเชื้อสายมาจากลัวะ ลัวะเป็นบรรพบุรุษของคนดอยเต่า ความจริงการเลี้ยงผีปู่ย่าของคนดอยเต่า ไม่ได้เลี้ยงผีบรรพบุรุษดั่งเช่นคนไทยเชื้อสายจริง ซึ่งทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษให้มาดลบันดาลให้มั่งมีศรีสุข ร่ำรวยเงินทอง หรือเลี้ยงผีเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณของบรรพบุรุษ แต่คนดอยเต่าเลี้ยงผีปู่ย่า เพื่อไม่ให้ผีปู่ย่ามาทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย การนับถือผีปู่ย่าของคนดอยเต่า เป็นกุศโลบายของคนโบราณเพื่อควบคุมพฤติกรรมของบุตรหลานไม่ให้ออกนอกรีตนอกรอย เพราะการกระทำบางอย่างที่ไม่ดี สังคมไม่ยอมรับ หรือผิดจารีตประเพณีอันดีงาม จะทำให้ผีปู่ย่าโกรธ ไม่พอใจ เช่น หนุ่มสาวจับมือถือแขนกัน ลักลอบได้เสียกัน หรือพี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ผีปู่ย่าจะไม่พอใจ ผีปู่จะทำให้เกิดเพทภัยต่าง ๆ แก่ครอบครัว เช่น อาจทำให้คนในครอบครัวไม่สบายถึงกับ ล้มหมอนนอนเสื่อ สามวันดีสี่วันไข้ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องทำพิธีเลี้ยงผีปู่ย่า เพื่อขอขมาลาโทษที่ได้ทำผิดจารีตประเพณี เมื่อเลี้ยงผีปู่ย่าแล้วอาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะทุเลาเบาบางลงตามลำดับ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงผีปู่ย่า หรือเลี้ยงผีลัวะของคนดอยเต่า เป็นพิธีกรรมเพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนในสังคมเท่านั้น ไม่ได้เลี้ยงผีปู่ย่าเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาดั่งเช่นคนจีน จึงสันนิษฐานไม่ได้ว่าการที่คนดอยเต่าเลี้ยงผีลัวะ บรรพบุรุษจะเป็นลัวะเสมอไป
จากการถามคนดอยเต่าที่นับถือผีลัวะ ว่า พูดภาษาลัวะได้หรือไม่ สืบเชื้อสายมาจากลัวะหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือว่า ไม่ เขาเชื่อว่าเขาเป็นคนไต คนพื้นเมือง เพียงแต่นับถือผีปู่ย่า มีพิธีกรรมการเลี้ยงผีแบบลัวะเท่านั้น มีประเพณีที่เหมือนลัวะ เช่น การฝังศพ ไม่นิยมนำศพไปเผา มีเตาไฟหย่อนนอกเหนือจากนี้ก็เหมือนคนไต หรือคนดอยเต่าทั่ว ๆ ไป
หรือว่าท่าน ผอ. วิทยา จะสันนิษฐานว่า การที่คนลัวะดอยเต่าในอดีตจะกลายเป็นคนดอยเต่าในปัจจุบันโดยใช้เวลาหลายร้อยปี หลายพันปีมาแล้ว ที่ได้ค่อย ๆ พัฒนาการทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นคนดอยเต่าในปัจจุบัน
ยิ่งเป็นข้อสันนิษฐานแบบนี้ยิ่งไม่เห็นด้วย เป็นไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะย้อนหลังไปเมื่อ ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา ความเป็นชาติพันธุ์ของกลุ่มชนต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดเจนกว่าเวลานี้มาก ไม่ว่าภาษาพูด จารีตประเพณี คติความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละเผ่าพันธุ์จะแตกต่างกันมาก การยึดในตัวตนของแต่ละชนเผ่าจะมีมาก การแต่งงานข้ามเผ่าจะมีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย ผิดกับปัจจุบันนี้การไปมาหาสู่กันสะดวกขึ้น การติดต่อสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น มีการศึกษาเรียนรู้ด้วยกัน การที่ชนเผ่าใดเผ่าหนึ่งจะถูกกลืน หรือมีพัฒนาการให้เท่าเทียมกับชนเผ่าอื่นที่เจริญกว่าย่อมเป็นไปได้สูงมาก แต่นี่คนดอยเต่ามีประเพณีวัฒนธรรม มีภาษาพูด ภาษาเขียนมานานเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว ย่อมเป็นไม่ได้ว่า ลัวะจะถูกกลืน จนลืมภาษาดั้งเดิมของตนเอง จนกลายเป็นคนดอยเต่าเมื่อร้อย ๆ ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเวลานั้น ยังไม่มีสื่อวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หนังสือสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ยังไม่มี การที่คนลัวะจะถูกกลืนจนกลายเป็นคนดอยเต่าในปัจจุบันย่อมเป็นไปไม่ได้ ยกตัวอย่างคนจีนที่อพยพมาอยู่เมืองไทย อายุ ๘๐ ปี ยังพูดไทยไม่ชัด ยังคงใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวันอยู่ เช่น เตี่ย อาหมวย ลื้อ อั๊วะ ไอ้ตี๋ เจี๊ยะ ถ้าคนดอยเต่าสืบเชื้อสายมาจากลัวะจริง น่าจะมีภาษาพื้น ๆ เช่น คำว่า พ่อ แม่ พี่ น้อง หลงเหลืออยู่บ้าง แต่นี่ไม่มีเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนดอยเต่าจะสืบเชื้อสายมาจากลัวะ