ประชากรในอำเภอดอยเต่าส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกร ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เป็นหลัก ถึงแม้ว่าวิถีในดำเนินชีวิตได้ปรับเปลี่ยนวิวัฒนาการไปตามยุคสมัยและค่านิยมไปบ้าง แต่ก็ยังคงเป็นอาชีพเกษตรกรรมเหมือนเดิม ซึ่งสามารถแบ่งเป็นช่วงเวลาได้ ๓ ระยะดังนี้
ระยะที่ ๑ การทำเกษตรแบบดั้งเดิม (ก่อน พ.ศ. ๒๕๑๙ )
ยุคสมัยนี้อำเภอดอยเต่ายังไม่มีการชลประทาน ไม่มีอ่างเก็บน้ำ และคลองส่งน้ำเหมือนใน
ปัจจุบัน เกษตรกรส่วนมากทำการเกษตรแบบดั้งเดิม หมายถึง ทำการเกษตรแบบอยู่พอกิน พึ่งพาอาศัยฝนฟ้าตามฤดูกาล ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง หรือยาปราบวัชพืชใด ๆ ทั้งสิ้น อาศัยแรงคนในการทำงานเป็นหลัก อย่างมากได้อาศัยแรงวัว แรงควาย ในการไถนา และลากเกวียนเท่านั้น
การเกษตรในยุคนี้เป็นการทำเกษตรแบบผสมผสาน มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ไว้กินไว้ใช้ในครัวเรือนและแบ่งปันเพื่อนบ้าน ทำการเกษตรเพื่อให้พออยู่พอกิน ไม่ได้ทำในเชิงธุรกิจค้าขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัว
เครื่องไม้เครื่องมือในการทำเกษตรสมัยนี้มีไม่มาก เช่น จอบ(ขอบก) เสียม มีด ขวาน (มุย) เลื่อย เคียว แอก ไถ คราด (เผือ) เกวียน(ล้อ) เชือก (ใช้เปลือกไม้ปอฟั่นเป็นเกลียว)
ระยะที่ ๒ การทำเกษตรสมัยพัฒนา (พ.ศ. ๒๕๑๙ – ๒๕๕๐)
หลังจากมีการสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตูบในโครงการตามพระราชดำริ มีการปล่อยน้ำลงคลองชลประทานส่งไปตามพื้นที่ทำกินของเกษตรกร การเกษตรกรรมจึงได้ปรับเปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบผสมผสาน เป็นเกษตรกรรมแบบเชิงเดี่ยวมากขึ้น มีการทำสวนลำไย ปลูกหอม กระเทียม ปลูกถั่วเหลือง มีการเจาะน้ำบาดาล ใช้เครื่องสูบน้ำ สูบน้ำขึ้นมาทำการเกษตร มีการใช้เครื่องทุ่นแรง แทนแรงงานคนและสัตว์ เช่น รถไถ เครื่องสูบน้ำ ควายเหล็ก เครื่องสีข้าว เครื่องโม่ถั่ว เครื่องนวดข้าว เครื่องไม้เครื่องมือในยุคก่อน ๆ จึงได้เลิกใช้ไปโดยปริยาย คนรุ่นหลัง ๆ หาดูไม่ได้เลย เช่น ไถนาโดยใช้แรงควาย ลากเกวียนโดยใช้วัวเทียมเกวียน
การเกษตรกรรมในยุคนี้ ถูกระบบทุนนิยมเข้าครอบงำ เกษตรกรสามารถเข้าระบบสินเชื่อกู้เงินลงทุนได้ เปลี่ยนจากการเกษตรเพื่อพออยู่พอกิน เป็นเกษตรเชิงเดี่ยวที่มุ่งผลผลิตมาก ๆ เพื่อสร้างฐานะทางครอบครัวและเพื่อการปลดหนี้สิน การเกษตรจึงจำเป็นต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ปราบวัชพืช ยาคุมวัชพืช ฮอร์โมน ยาเร่งดอกเร่งผล ฯลฯ ต้องใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ มาช่วย ต้องกู้หนี้ยืมสินทั้งในระบบและนอกระบบมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือให้ทันสมัยทันเหตุการณ์ มีการแข่งขันในการทำมาหากิน วิถีชีวิตที่เรียบง่าย สบาย ๆ เหมือนเกษตรกรในยุคก่อนๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นชีวิตที่ต้องดิ้นรน แข่งขัน ร้อนรุ่มกลุ่มใจ เต็มไปด้วยหนี้สินล้นพ้นตัว
ระยะที่ ๓ ในยุคปัจจุบัน (๒๕๕๐ เป็นต้นมา)
ปัจจุบันนี้ เกษตรกรในอำเภอดอยเต่าส่วนหนึ่ง ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากการใช้สารเคมีต่าง ๆ ทำให้เกิดสารพิษตกค้าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นทุกๆปี มีปัญหาต่อสุขภาพของผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง จึงหันมาศึกษาเกษตรทฤษฎีใหม่หรือไร่นาสวนผสม น้อมนำเอาทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันมาใช้ในการเกษตร โดยได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดินจากอำเภอฮอด ให้เกษตรกรในอำเภอดอยเต่าทุกหมู่บ้านได้รวมกลุ่มกัน เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ การปรับปรุงบำรุงดิน โดยให้มีหมอดินประจำหมู่บ้าน และประจำตำบล ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกลุ่มทำปุ๋ยหมักชีวภาพบ้านไร่